รีเซต

ยิ่งไกลยิ่งใกล้!! เชียร์ ทิฆัมพร เล่านาทีเปิดใจให้ ไฮโซบิ๊ก ทั้งที่เคยคิดคนนี้ต้องอยู่ให้ห่าง

ยิ่งไกลยิ่งใกล้!! เชียร์ ทิฆัมพร เล่านาทีเปิดใจให้ ไฮโซบิ๊ก ทั้งที่เคยคิดคนนี้ต้องอยู่ให้ห่าง
Entertainment Report_3
22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:46 )
610

ข่าวบันเทิงวันนี้

"เชียร์ ทิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์" ที่กว่าจะเจอรักแท้นั่นก็คือหนุ่ม "ไฮโซบิ๊ก ธนพนธ์ เบญจรงคกุล" ที่เปิดตัวต่อสาธารณะชนและครอบครัวในทุกวันนี้ เจ้าตัวที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ "Club Friday Show" ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เปิดทุกเรื่องของความรักที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนแบบหมดเปลือกจากความรักครั้งแรก ความรักที่เจ็บที่สุด พร้อมกับความรักในกองถ่ายที่ทำให้ต้องเสียน้ำตา และสุดท้ายความรักที่กว่าจะรักก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์อยู่นานเพราะความกลัว

มีสเปคพิเศษไหมเชียร์จะแพ้ผู้ชายแนวนี้?
เชียร์ : เชียร์ จะชอบผู้ชายที่มีความตี๋อินเตอร์ ตี๋อินเตอร์ในที่นี้ คือแบบ ถ้าเป็นลูกครึ่งและเป็นลูกครึ่งแบบเอเชียกับเกาหลีหรือญี่ปุ่น จะมีความเขินมากจะรู้สึกว่าแพ้จังเลย แต่ในชีวิตก็ไม่มีแฟนแบบนั้นเข้ามาเลยเป็นแค่ภาพที่เรามโนขึ้นมาจริง ๆ

แล้วมีแฟนแบบจริงจัง มีความรักแบบจริงจัง ครั้งแรกเมื่อไหร่?
เชียร์ : ความรักของเชียร์เกิดขึ้นจริง ๆ ในช่วงนั้นวัยรุ่นช่วง 10 กว่าประมาณนี้ค่ะ ตอนนั้นก็เข้าวงการแล้วเล่นละครแล้วจริง ๆก็เหมือนในละครเหมือนกันเพราะเราเจอกันโดยบังเอิญเลยค่ะ เป็นเหตุการณ์ที่เราไปงานอีเว้นต์ที่มาบุญครอง แล้วเดินข้ามมาที่ฝั่งสยามมาหาเพื่อนค่ะ เป็นแค่วินาทีที่เดินข้ามถนนกันแล้วก็เดินสวนกันแล้วเรารู้สึกว่า (คิดในใจเฉย ๆ นะคะ) ว่าคนนี้หน้าตาดีจัง ดูดีจัง เท่จังอะไรอย่างนี้ แต่ว่าเพื่อนที่อยู่กับเราซึ่งเป็นทอมแต่กรี๊ด(ผู้ชาย)คงลืมตัว(หัวเราะ) เขาก็บอกเราว่าชอบคนนี้เท่มากเป็นแฟนคลับ เราก็ใครไม่รู้จัก (เพื่อนก็ว่าเราไม่รู้จักได้ไง) แล้วเพื่อนเราก็ข้ามถนนเพื่อตามเขาแอบมองสักนิดก็ยังดี แต่ปรากฏว่าคนนี้เขาเดินกลับมาแล้วมาคุยอะไรกับเพื่อนเราก็ไม่รู้ หลังจากนั้นเพื่อนก็รีบข้ามถนนกลับมาเลยเขาขอเบอร์เรา เราก็แบบเฮ้ย!! ตอนนั้นก็เขินเหมือนกันไม่คิดว่าการเดินข้ามถนนเจอกันแป๊บเดียวแล้วเราแอบรู้สึกปลื้ม ๆ อยู่ในใจเป็นไปได้ยังไง (ซึ่งเขาก็เป็นคนดังในหมู่วัยรุ่น ตอนนั้นยังไม่เขาวงการเต็มตัว) เพื่อนก็บอกให้เราคุยกับเขาไปเถอะให้เบอร์เขาไปแล้ว เขาก็โทรมาหา เราก็เขิน ๆ เหมือนกัน แต่ก็ได้คุยกันก็ได้คบกันเป็นแฟนกัน ก็คบกันสักพักใหญ่ ๆ เลย ช่วงนั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกันด้วยความที่ เชียร์ อยู่ที่สังกัดเก่า เชียร์ ต้องทำงานหนักจริง ๆ ทั้งการเล่นละครออนแอร์นั่นหมายความว่า 7 วันหรืออะไรก็ตามชีวิตเชียร์จะอยู่แค่โรงเรียน พอเรียนเสร็จไปถ่ายละคร ถ่ายละครตอนเช้ากลับมาเรียน มันมีโอกาสน้อยมากที่เราจะใช้เวลาเหมือนวัยรุ่นทั่ว ๆ ไป แทบไม่มีเลยจริง ๆ เลยทำให้จังหวะและโอกาสมันไม่ได้ไปต่อค่ะ จริง ๆ เป็นความรักที่ เชียร์ ก็เสียดายนะเพราะว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งที่ ที่เราสัมผัสได้ว่าเขาตั้งใจจริง ๆ แล้วก็มีความพยายามจริง ๆ คือ เชียร์ ไม่เคยเจอใครโทร Misscalls หา เชียร์ ได้เยอะเท่าเขาในชีวิตของ เชียร์ มาก่อนเลยเราก็มีเรื่องประทับใจในตัวเขาเยอะ แต่จังหวะและโอกาสไปต่อไม่ได้จริง ๆ เราจบลงโดยที่ไม่ได้มีปัญหาแต่แค่ไม่มีเวลาเท่านั้นเองค่ะ เชียร์ เป็นคนบอกเลิกเขาด้วยซ้ำ!! จังหวะเวลามันไม่ได้มาในช่วงที่ใช่มันก็เลยต้องหยุดไว้อย่างนั้น แต่เราก็ยังมีความเป็นเพื่อนกันนะคะ ตอนคบกันก็มีแค่เพื่อน ๆ ที่รู้เพราะเราเจอกันน้อยจริง ๆ บางทีเราแค่กลับมาเขาก็มารอเจอเราที่หน้าปากซอย เราก็รู้สึกว่ามันลำบากเหมือนกันเนอะ

พอได้เลิกกันไปกับคนนี้ก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์จากเขาคนนั้น?
เชียร์ : ตอนที่เราแยกกันไปเราก็ยังเด็กมากจริง ๆ แล้วเราก็เป็นคนที่บอกเลิกเขา เราก็ไม่รู้เลยว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของเขามากน้อยแค่ไหน บอกเลยว่าเชียร์ไม่แน่ใจว่าใช่เชียร์ไหม แต่เห็นจากรายการหนึ่ง (เขาเข้าสู่วงการแล้ว แต่อันนี้ผ่านมานานมากแล้วนะคะ)แล้วเหมือนเขาถูกถามว่ามีความรักครั้งไหนอยู่ในใจคุณบ้างไหม เขาก็บอกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาก็บอกว่าเป็นคนในวงการ (แต่ในใจเราก็คิดว่าไม่ใช่) แต่ก็มีคนถามมาว่าใช่ ช.ช้าง หรือเปล่า เขาก็เล่าว่าได้เจอกันเฉพาะตอนทำการบ้าน ทั้งหมดก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นเราก็รู้สึกเซอร์ไพรส์ค่ะ ถ้ามันใช่ เชียร์ จริง ๆ หมายความว่ารักครั้งนั้นมันอยู่ในใจเขาก็รู้สึกดีเหมือน ต้องขอบคุณที่ให้ความรักของเราครั้งหนึ่งยังอยู่ในใจ

แล้วก็ครั้งหนึ่งเคยมีความรักกลางกองถ่าย ที่เราไปทำงานแล้วเจอใครบางคนเข้า?
เชียร์ : นี่!! หลาย ๆ เรื่องไม่เคยพูดที่ไหนเลย ก็ใช่ค่ะ เป็นความรู้สึกดีที่เกิดกลางกองถ่าย

เขามาจีบหรือเปล่า?
เชียร์ : ก็ต้องใช้คำนั้นนะ ว่าเขาเป็นคนที่เข้ามาก่อนเพราะว่าจากเดิมแสดงกันปกติ ทำงานกันปกติก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเริ่มมีการที่การได้รับการดูแลอะไรบางอย่าง ก็เริ่มค่อย ๆ รู้สึกดี คุยกันนอกรอบโทรมาหรือแบบมีการเทคแคร์อะไรบางอย่างมากกว่าคนอื่นค่อนข้างชัดเจน สิ่งที่เราชอบในตัวเขาคือ เป็นเพราะการที่เราได้รับการดูแลมากกว่าค่ะ เราก็เลยรู้สึกดีที่เราได้รับการดูแลแบบนี้ อาจจะไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนกันนะคะ เรามีการคุยกัน เป็นห่วงเป็นใยกันก็เหมือนคุย ๆ กันนั่นแหละค่ะ แต่พอวันหนึ่งเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากที่คุย ๆ กันอยู่ดี ๆ อย่างนี้ จู่ ๆ ก็ไม่คุยกับเราเหมือนเดิมเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร เหมือนคนไม่รู้จักกันไปเลย มึนตึงใส่เราเมิน ๆ ไปเลยซึ่งมันแปลกมากเพราะเราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน เหมือนว่าวันนี้คุยกันอยู่ดี ๆ พรุ่งนี้หายหน้าไปเลย แล้วพอเจอหน้ากลายเป็นไม่คุยกันเหมือนเดิม แต่เราก็ยังเข้าซีนเล่นละครกันได้ แต่พอสั่งคัทก็ต่างคนต่างอยู่เลย เหมือนโกรธกัน ซึ่ง เชียร์ ยังไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมอะไร แต่เราก็ไม่ได้ถามเขานะคะ เพราะว่าหนึ่ง คือ ถ้าเขาเลือกที่จะเมินเราได้ขนาดนี้แล้วแปลว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ให้กับเราเหมือนเดิมแล้ว แล้วเราจะไปหาคำตอบอะไรอีก อย่างนั้นก็ไม่เป็นไรแล้วกัน แต่ถามว่าเสียใจไหมเสียใจนะคะ เพราะว่ามันช็อกค่ะ เพราะจากคนที่คุยกันอยู่ดี ๆ ทำไมกลายเป็นคนไม่คุยกันเหมือนเดิม ซึ่งตอนทำงานเราก็อึดอัดจนมีน้ำตาเลย เพราะว่าเรายังต้องทำงานด้วยกันอยู่ ยังต้องเจอหน้ากันอยู่ มันเป็นความไม่เข้าใจ แล้วมันเหมือนอาการช็อกอะไรบางอย่างที่เราตั้งรับไม่ทัน เราเดินไปหน้าฉากจะเดินไปเข้าฉากแล้วพอเจอเป็นแบบนั้น เรารู้สึกแบบความรู้สึกมันเหมือนออกมาเป็นน้ำตา พอเรารู้สึกว่าน้ำตาจะไหลแล้ว เราก็ขอไปเข้าห้องน้ำ เดินออกจากฉากเพื่อที่จะไปปาดน้ำตา เราก็บอกตัวเองว่าอย่าไปเป็นแบบนี้แล้วก็เดินกลับไปทำงานต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (แต่เชียร์ก็ไม่ได้อยากถาม ไม่ได้ติดใจอะไร)ถ้าคนคนหนึ่งเขาไม่ได้รักเราก็ไม่เป็นไร ก็ได้อยากถึงขนาดต้องเคลียร์ ต้องโหยหาอะไร บางคนถ้าเขาไม่อยากจะหวังดีกับเรา ไม่อยากจะมีความรู้สึกดี ๆ ให้เราแล้ว ก็ทำอะไรไปก็น่าจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว จริง ๆ ทุกวันนี้ เราก็ยังสนิทกัน ยังรักกัน หวังดีต่อกันในแบบเพื่อนพี่น้องนะคะ แต่เราก็ไม่เคยคิดจะถามเรื่องนี้กับเขาเลย เพราะเราเป็นคนที่ไม่ชอบเสียใจนาน เพราะเรายังต้องอยู่หน้ากล้อง ถ้าเราจมดิ่งกับอะไรบางอย่าง เราจะเอาพลังที่ไหนไปทำหน้ากล้องให้มีพลัง

แต่ที่บอกว่า เชียร์ ไม่ชอบเสียใจนาน แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้เฮิร์ตหนักมากถึงสองปี?
เชียร์ : ต้องบอกว่าถ้า เชียร์ เป็นคนที่รักใครเราจะมีความรู้สึกที่ได้คบใครเป็นแฟนใครแล้วเราจะจริงจังมาก เราจะให้คุณค่ากับมันมาก คบกับใครเราไม่เคยคิดว่าอยากจะเลิก เหมือนอยากจะคบไปนานนานยาว ๆ เพราะว่า เชียร์ รู้สึกว่าการที่เราได้เจอคนหนึ่งที่เขารู้สึกดีกับเรา และเรารู้สึกดีกับเขามันเป็นเรื่องไม่ง่าย เราเลยอยากรักษาให้มันนานที่สุดและดีที่สุด ซึ่งมีความรักครั้งหนึ่งที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะโดนบอกเลิก เรายังรู้สึกว่าทุกวันมันคือดีอยู่ ไม่ได้มีการทะเลาะกันบ่อยเลย วันหนึ่งเราโดนบอกเลิก ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้และไม่มีสัญญาณอะไรเลย ซึ่งเขาที่มาบอกเลิกเรา ก็ไม่ได้ถามอะไรเขาบางที เชียร์ อาจจะไม่อยากรู้คำตอบก็ได้ เพราะเราอาจจะเสียใจมากกว่าเดิมก็ได้ (สมมติเค้าบอกว่าไม่รักเราแล้ว หรือหมดใจ เป็นคำคอนเฟิร์มแบบนี้เชียร์อาจจะแย่กว่านี้ก็ได้) แล้วเรารู้สึกว่าคนคนหนึ่งที่เขาคิดเพื่อที่จะมาบอกเลิกเราเขาต้องคิดมาอย่างดีพอสมควร เราก็ให้เกียรติในสิ่งที่เขาการตัดสินใจ ถ้าเราไม่ใช่สำหรับเขามันก็คงไม่ใช่นั่นแหละ แต่ถามว่าอยากเลิกไหมไม่ได้อยากเลิกเลย เค้าโทรมาบอกเลิกซึ่งเราก็เฮิร์ตหนักมากที่ได้ยินแค่ชื่อก็ไม่ได้ ได้ยินเพลงที่มันเกี่ยวกับความรู้สึกดี ๆ ที่เราให้กันก็ไม่ได้ ปีหนึ่งก็ไม่ดีขึ้นเลยกลับบ้านก็ร้องไห้เสียใจ เชียร์ ถึงชอบทำงานมากกว่า พอเราทำงานเราจะตัดความโศกเศร้าเสียใจ เพราะเราจะหวงพลังงานในการทำงานตรงนี้มาก แต่พอกลับบ้านคือเราอ่อนแอมาก  เราก็มีไปง้อเขาเหมือนกัน เพราะเราก็ยังมีคิดถึง ยังแบบอยากมีเขาอยู่ แต่เราก็ติดต่อเขาไม่ได้เลย พยายามขับรถไปคุยกับเขา ในสิ่งที่เหมือนเรายังรับไม่ได้อยากให้เขากลับมา กลายเป็นว่าเราร้องไห้ขับรถไปไกลมาก เวลาผ่านไป 1 ปีเราก็คิดว่าคงเริ่มดีขึ้นแล้ว พอมารู้ว่าเขามีแฟนทุกอย่างมันกลับไปเริ่มหนึ่งใหม่ ลึกๆเราก็ยังรู้สึกรอเขาอยู่แต่เราก็ไม่ได้แสดงตัวว่ารอเขา ท้ายที่สุดกว่าจะดีขึ้นกับความรักครั้งนี้ก็ประมาณเกือบ ๆ 2 ปีเลย

โดยที่เราไม่มีโอกาสรู้ด้วยว่าเขาเลิกกับเราเพราะอะไร?
เชียร์ : ใช่ค่ะ แต่ถาม เชียร์ โกรธหรือเกลียดไหม เชียร์ไม่โกรธไม่เกลียดเลยนะคะ ทุกคนเลยด้วยซ้ำ เรายังมีความเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องเป็นอะไรที่ปรึกษากันได้แบบสนิทใจเหมือนเดิมเลย พอเราเต็มที่มาก ๆ กับความรักแล้ว จะบอกรักกันทุกวัน จะทำอะไรที่แบบเราทำอะไรด้วยกันอยู่ตลอดแล้ว แต่พอวันหนึ่งที่มันไปต่อไม่ได้จริง ๆ มันไม่เป็นอะไร เรามาบังคับใครให้รักเราไม่ได้ แต่ในช่วงที่คบกันถ้าเวลามีปัญหา เชียร์ ก็จะเป็นคนที่พูดอะไรตรง ๆ แต่กลายเป็นว่าลุคที่เราแบบเราดูสตรอง ลุคที่เราน่าจะพูดอะไรได้ดี หรือน่าจะอยากเคลียร์อะไรได้อย่างนี้ แต่พอกับเรื่องความรักคือ เชียร์ เซนซิทีฟมากแล้วพอยิงแบบการตัดสินใจเขาจะไม่ไปต่อกับเราเพราะถึงจุดนี้เหมือนมันสุดทางถ้ามันดีจริงจริงเขาคงไม่ตัดสินใจแบบนี้ ซึ่งครั้งนี้ เชียร์ เลยขอกลับมาเคลียร์กับตัวเองว่ามันไปต่อไม่ได้จริงๆและเราก็ไม่อยากเสียใจนาน แต่อย่างที่บอก พอรักใครมันควบคุมยากจริง ๆ ซึ่งเราก็เคยคิดว่าเขาเลิกกับเราเพราะอะไรแต่เราไม่เคยคิดจะไปเอาคำตอบจากเขา

เสียใจอยู่ตั้ง 2 ปี จังหวะที่ Move On ออกมาได้ยังไง?
เชียร์ : ด้วยเวลาด้วยค่ะ พี่ฉอด เชียร์ ก็จะโฟกัสเรื่องของงาน โฟกัสกับรูปแบบอื่นที่เป็นสิ่งที่ดีเหมือนกันทั้งการทำงาน ทั้งครอบครัว หรือแฟนคลับ ถึงแม้มันจะต่างรูปแบบแต่มันก็เป็นพลังงานที่ดีเหมือนกัน พอเราได้รับสิ่งเหล่านี้ ก็ช่วยเยียวยารักษาแผลในใจของเราไป

ในวันที่หลุดเรารู้สึกยังไงบ้าง?
เชียร์ : เห็นอะไรที่เป็นความสุขของเขา ที่เขาคบกับใครเรารู้สึกยินดีไปด้วย เราไม่ได้เติมให้เขาได้แบบนั้นเขาอาจจะเจอสิ่งที่เหมาะกับเขาแล้วอะไรอย่างนี้ค่ะ มันเป็นความยินดีแล้วก็ไม่ได้เห็นแล้วเรารู้สึกเสียดแทงอะไรในใจอย่างนี้ค่ะ 

เรามักจะได้ยินคำถามว่า พี่อ้อย พี่ฉอด ค่ะทำอย่างไรดีหนูถึงจะมูฟออนได้  ซึ่ง เชียร์ อาจจะเป็นกรณีหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าก็ไม่เห็นต้องทำอะไร แค่ทำไปแต่ละวัน?
เชียร์ : สิ่งหนึ่งที่มันตอบตัวเราได้ คือ วันที่ เชียร์ บอกตัวเองว่า เฮ้ย!! เราเสียใจอย่างนี้มันเราต้องทำงานต่อนะ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย กับการที่เราต้องจบอยู่กับอะไรที่มันทำร้ายและการที่ทำร้ายคือเราทำร้ายตัวเองทั้งนั้นเลยเราต้องลุกขึ้นมาให้ได้ ซึ่งครอบครัวไม่เคยรู้เลยเพราะว่า เชียร์ ไม่เคยพูดอะไรเลยโดยเฉพาะถ้าเป็นอะไรที่เราแย่หรือเราเสียใจ เพราะ เชียร์ ไม่อยากให้ครอบครัวเป็นห่วงเลย ป๊า หม่าม้า เป็นห่วงเราเพราะเราทำงานตั้งแต่เด็กดูแลครอบครัวตั้งแต่เด็ก เขาเลยไม่เคยรับรู้เรื่องที่เรามีแฟนเลยสักคนที่ผ่านมา แต่ เชียร์ รู้ว่าเขารู้ทุกอย่างแต่แค่ว่า เชียร์ ไม่เคยเดินไปพูดอะไรกับเขาแล้วเขาก็ไม่ถามเราเพราะเรามีความรู้สึกไม่อยากให้เขาเป็นห่วงค่ะ เราอยากจะจัดการตรงนี้ด้วยตัวเราเอง 

แม้กระทั่งคนที่ เชียร์ บอกว่าจะเริ่มอย่างเป็นทางการ ที่บ้านยังรู้พร้อมกับทุกคน?
เชียร์ : ใช่ ครอบครัวรู้จากข่าวค่ะ 

ก่อนที่เราจะมาเจอ คุณบิ๊ก เราสงสัยไหมทำไมความรักของเรามันคล้าย ๆ กัน จบโดยแบบอยู่ ๆ ก็หายแบบนี้ แล้วเรากลัวไหมครั้งหน้าจะเป็นแบบนี้อีกไหม?
เชียร์ : ก็ไม่ถึงกับกลัวนะคะ คือ จะบอกว่า เชียร์ เป็นคนหนึ่งเลยที่ โอเคเราทุ่มเทให้กับความรักจริง แต่ เชียร์ ไม่เคยคาดหวัง หรือโหยหาอะไรที่ว่าเราจะต้องมีรัก เราจะต้องแต่งงาน แต่ถ้าเรามีนั่นคือความโชคดีที่เราได้เจอกัน จนมาถึงปัจจุบัน คือ คุณบิ๊ก ไม่เคยคิดเลยว่าเราจะคบคนนี้ เคสของ บิ๊ก เป็นเคสที่แปลกมากปกติทุกเคสที่เคยได้เป็นแฟนกัน เราจะมีความแบบเคมีฟรุ้งฟริ้งอะไรบางอย่างที่แบบเรารู้สึกไม่ปกติ (เช่นเราอยู่ใกล้เขาเราจะรู้สึกเขินซึ่งเขินอะไรก็ไม่รู้คนนี้) แต่กับ บิ๊ก เองเป็นคนเดียวเลยที่แบบเราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้เลย แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยว่าเขาจะมาเป็นแฟนเรา คนรักเรา เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ไม่ตรงสเปกเราเลยแม้กระทั่งแบบจากข้างนอกสู่ข้างในไม่ได้มีนิสัยที่เราคิดว่าเราชอบคนนี้ เชียร์ ไม่ได้ชอบผู้ชายมีหนวด คือ ไม่ได้อยู่ในสเปคเรา

เจอกันได้ยังไง
เชียร์ : เรียนคอร์สหนึ่งชื่อว่า DEF ค่ะ แล้วเราก็เป็นช่วงที่ หลังจากการอกหักครั้งยิ่งใหญ่เหมือนกัน 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้มีความรักเลย แล้วไม่ได้อยากแบบไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องความรักอยู่เลยด้วยซ้ำแต่ก็มาเจอเขา

ซึ่งผู้ชายคนนี้ เชียร์ หมายหัวไว้เลยว่าต้องอยู่ห่าง ๆ ทำไม?
เชียร์ : คือ เขาเป็นคนที่ดูดีแล้วก็มีแต่คนต้องการเขา เขาเป็นหนุ่มฮอตในคอร์สคนให้ความสนใจเราก็บอกว่าจะไม่มีทางไปใกล้คนคนนี้เลยแน่นอนไม่อยากอยู่ในโซนอันตราย ขอรู้จักกันห่าง ๆ พอ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศกันแล้วคือ จังหวะอะไรไม่รู้ เชียร์ พยายามรักษาระยะไม่อยู่ใกล้เข้าก็เหมือนหนีไม่พ้นค่ะ  จังหวะที่ต้องกลับจาก สิงค์โปร์มาไทย จริง ๆ เรากลับกันสามคนมีพี่ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ขึ้นไปเป็นแถวเครื่องบินแถว 3 แทนที่เราจะได้นั่งกันสามคนกลายเป็นชื่อที่เขาลงมาให้นั่งด้วยกันคือ บิ๊ก เชียร์ แล้วก็คุณลุงต่างชาติคนหนึ่ง แล้วพี่เขาต้องไปนั่งคนเดียว เราก็พยายามจะสลับมาให้พี่เขานั่งกับบิ๊ก เพราะเขารู้จักกันมาก่อน เขาก็ไม่เอาเขาไม่อยากให้เรานั่งคนเดียว ในใจเราตอนนั้นคือยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ๆ แต่เราไม่ได้เกลียดเขานะคะ แต่พอมีใครที่ชอบเขาอยู่ แต่เราไม่อยากให้มีโอกาสที่เขามาชอบเรา เราเลยลดความเสี่ยงทุกทาง แต่กลับกลายเป็นว่าระหว่างทางตรงนั้น เชียร์ ว่ากลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ ทำให้เราได้รู้จักเขามากขึ้น และ เชียร์ ก็เชื่อว่าเขาก็น่าจะได้รู้จักเรามากขึ้น เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้คุยกันเขาเป็นคนเรียบง่ายมากเลยไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลย เคยถาม บิ๊ก เขาบอกว่าแบบก็รู้สึกดี แต่กลับมาเขาไม่ได้จีบเรายังเป็นทางการเลย แต่ก็มีสัญญาณมาถึงเราชัดเจนขึ้น เช่นเริ่มอยากมีคนช่วยเขา แบบมาบอกกับคนสนิทเราว่ามีคนอยากได้เบอร์เรา มีคนอยากโทรคุยนะ เริ่มมีจัดฉากให้เราได้มาอยู่ใกล้ ๆ กัน เราก็ยังไม่หวั่นไหวเพราะเรารู้ว่ามีใครหมายปองเขาอยู่ เขายิ่งจีบเรายิ่งหนีเลย เพราะว่าเราไม่รู้ว่าพี่คนนั้นเขาเลิกชอบ บิ๊ก ไปหรือยังเหมือนเรามีความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันมันยังโอเคอยู่ ถ้ามันจะใช่จริง ๆ ก็ค่อย ๆ ศึกษาไปก็ไม่ได้ให้ความหวัง ซึ่งเราก็ความรู้สึกตอนที่ว่าพอมีคนเข้ามาแล้วก็หายไป เข้ามาหายไป แต่ บิ๊ก เขาไม่หายไปไหนเลย เราก็รู้สึกว่าทำไมเขาอยู่กับเรานานจังทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ดีกับเขาเลย แต่เขาสม่ำเสมอกับเรามาก ๆ ส่งดอกไม้มา มีความสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนะ แต่อยู่มาแบบนี้เรื่อยๆ เชียร์ถือว่าเชียร์ใจร้ายมากพอสมควรเลยนะคะ เช่นบางทีเขาทักมาเช้า เชียร์ ตอบห้าทุ่มยังมีเลย เพราะเราก็ชัดเจนกับเขาว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณนะ แต่เขาก็ยังพยายาม ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เราไปบอกเขาว่าเธอไม่ต้องพยายามแล้วก็ได้ เราก็ค่อนข้างชัดเจนนะว่าเรามีระยะกันแค่นี้ เพราะเขาก็เป็นเพื่อน เชียร์ เหมือนกัน เชียร์ ก็อยากให้เขาได้เจอกับคนที่เหมาะกับเขา คนที่ดีกับเขาเพราะถ้าเขาจะดีกับใครขนาดนี้เค้าควรจะได้รับสิ่งดี ๆ กลับไปเหมือนกันไม่ใช่มาเสียเวลากับ เชียร์ ก็เลยชัดเจนที่จะบอกว่าเราเป็นเพื่อนกันเถอะ อย่าพยายามอีกเลย เขาก็โอเค พอแยกจากกันเขาก็ไลน์มาหาเราเหมือนเดิม แต่พอจุดนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราคิดเหมือนกันว่า เราก็ชัดเจนแล้ว แต่ทำไมเขายังอยากจะคุยกับเราต่อ ก็เริ่มใจอ่อน เพราะเขาทนจีบเราแบบนี้มา 2 ปี ก็พอถึงจุดที่ใจอ่อนเราก็มานั่งว่าแบบใครจะมาตั้งใจทำให้นานขนาดนี้

มีการเจราจาพูดกันอย่างเป็นทางการไหม?
เชียร์ : เหมือนแค่ว่ามานั่งคุยกันแบบนี้เป็นแฟนกันมานานแล้ว เป็นแฟนกันได้หรือยัง เราก็บอกเขาว่าเป็นสิ (อยากเป็นก็เป็นสิ) 

หลังจากคบกันแล้วก็เจอปัญหาสารพัดของความต่าง?
เชียร์ : นิสัยเชียร์กับคุณบิ๊กค่อนข้างหลาย ๆ อย่างไม่เหมือนกัน อย่าง เชียร์ เวลามีปัญหาอะไรก็ต้องคุยซึ่งถ้าแก้ปัญหาที่ต่างคนต่างไม่เข้าใจ เชียร์ ก็จะคุย แต่เราก็มีนิสัยชะนีเล็ก ๆ เพราะถ้าเราไม่ผิดเขาก็ต้องมาคุยกับเราก่อน แล้วเขาก็จะหายไปเลยบางทีก็อาทิตย์หนึ่งกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย จนเราต้องคุณเดี๋ยวก่อนคุณเป็นอะไรไม่อยากคุยกับ เชียร์ เหรอ ไม่อยากกลับมาใช้เวลากันเหมือนเดิมเหรอ เขาก็ตอบว่าอยากแต่ไม่กล้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรยังไงกับเราไปแล้วมันจะดีไหม จะโกรธกว่าเดิมหรือเปล่าเราก็บอกว่าไม่ได้สิ มีอะไรก็ต้องคุยกันแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเป็นคนแบบเป็นคนที่ค่อนข้างแคร์ เชียร์มาก เลยทำให้กลายเป็นว่ากลัวไปหมด พอหลังจากครั้งนั้น เชียร์ ก็คุยเลยว่าไม่ได้นะพอเราเย็นกันลงแล้วเราก็คุยกันเลยสิอย่าปล่อยไว้นานถ้าเป็น เชียร์ ถ้ามันไม่ใช่เชียร์ ก็จะรีบคุยนะอย่าปล่อยให้ค้างคา แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ก็ยังมีความหายแต่ไม่เท่ากับตอนแรก ด้วยนิสัยที่เขาเป็นคนใจเย็นมาก ๆ เราก็พยามเข้าใจเขาหรือถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เริ่มจะทะเลาะกัน เชียร์ จะเริ่มคุยก่อนเลยขอเคลียร์ก่อนไม่ต้องรอให้เขามาง้อ ตอนนี้คบกันมาก็ประมาณจะสองปีแล้ว ซึ่งเขาก็เป็นคนแรกที่ เชียร์พามาแนะนำกับครอบครัว ด้วยความที่วัยด้วย และความชัดเจนที่เราเลือกแล้วว่าอยากให้เป็นคนนี้ ฉะนั้นการไปเจอครอบครัวได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน เชียร์ คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี เชียร์ รู้สึกว่าอยากให้คนคนนี้เป็นคนที่ใช่ เพราะเขาเป็นคนที่ใช่สำหรับเราหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน เขามีความน่ารักเขาเป็นคนที่ไม่ได้พูดเก่งแต่การกระทำของเขาเต็มที่ Surprise เรามากเหมือนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เชียร์ หาของมีค่าไม่เจอแล้วก็เครียดมากคือเหมือนเขาจะช่วยแหละแต่เขาก็พูดประโยคเดิม แบบว่าอยู่นั่นนี่หรือเปล่าแต่เขาก็พูดประโยคเดิม ซึ่ง เชียร์ ก็พูดว่าถ้าเป็น เชียร์ เชียร์ จะไม่พูดประโยคนี้แล้วนะ เราก็รู้สึกว่ากำลังจะหงุดหงิดแล้วก็เลยวาง กำลังจะรู้สึกผิดเลย กำลังจะโทรศัพท์ไปขอโทษเขา ตอนนั้นตีสามนะคะปรากฏว่าเปิดประตูห้องเข้ามา น้ำตาจะไหลเลยเพราะเรากำลังรู้สึกผิดอยู่ เราก็ถามเขาว่ามาทำไม ดึกแล้วเขาก็บอกว่าเห็นเราเครียดหาของอยู่ สุดท้ายสิ่งที่เขาทำมันเติมเต็มให้กับเรามากๆและลงตัวที่สุด

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :