The Flash เดอะ แฟลช หลังโปรเจคดำผุดดำว่ายมานานหลายปี พร้อมทั้งปัญหาจากนักแสดงที่ออกมาไม่หยุดไม่หย่อนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ ณ เวลานี้ก็ถึงเวลาที่ฮีโร่ความเร็วเหนือแสงจากค่าย DC Comics ผู้นี้ได้ออกมาโลดแล่นบนจอภาพยนตร์กันแล้ว พร้อมทั้งเสิร์ฟประเด็นความเป็นมัสติเวิร์ส (Multiverse) ที่ถือว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของจักรวาลเดิมอย่าง DCEU (DC Extended Universe) เพื่อต้อนรับการมาถึงของจักรวาลใหม่ DCU (DC Universe) ในภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์แห่งปี The Flash เดอะ แฟลชhttps://www.instagram.com/p/Cr1UL3EvXgT/The Flash เดอะ แฟลช ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์แห่งปีจากค่าย DC Comics อันเป็นภาพยนตร์ในลำดับที่ 13 แห่งจักรวาล DCEU ซึ่งดัดแปลงจากเส้นเรื่องคอมมิคสุดโด่งดังแห่งยุคอย่าง Flashpoint เล่าเรื่องราวต่อจาก Justice League (2017) หรือ Zack Snyder's Justice League (2021) เมื่อ Barry Allen/The Flash (Ezra Miller) เดินทางย้อนเวลาเพื่อหยุดยั้งการตายของแม่ของเขา ที่ซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลในความเป็นจริงใหม่ และนำมาซึ่งหายนะของโลกที่มีแค่เขาที่จะแก้ไขมันได้บทมาดี แต่สะดุดใหญ่ช่วงท้ายต้องยอมรับว่าเส้นเรื่อง Flashpoint ของ DC Comics เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่และสร้างความโกลาหลอันใหญ่หลวงต่อตัวละครและจักรวาลของซุปเปอร์ฮีโร่ให้มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดตามที่ผู้สร้างต้องการจะไป ไม่ว่ามันจะส่งผลดีหรือผลร้ายแรงต่อจักรวาลมากน้อยเพียงใด ดังตัวอย่างเช่น แอนิเมชั่นที่ดัดแปลงจากเส้นเรื่องโดยตรงอย่าง Justice League: The Flashpoint Paradox (2013) รวมไปถึงการถูกดัดแปลงในรูปแบบทีวีซีรีส์จากจักรวาล Arrowverse กับ The Flash (SS3, 2014-2023) ฉบับ Grant Gustin ที่ช่วยให้เราคุ้นเคยกับคอนเซ็ปต์ของ Flashpoint ที่มักจะสร้างความโกลาหลกันไม่หยุดไม่หย่อนกันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็นับเป็นสิ่งที่ดึงดูดความน่าสนใจสำหรับเส้นเรื่องเส้นนี้https://www.instagram.com/p/CtfQVUoPVJQ/สำหรับภาพยนตร์ The Flash ที่ได้หยิบองค์ประกอบของ Flashpoint มาดัดแปลงนั้น ต้องบอกเลยว่า ตัวภาพยนตร์สามารถมอบทั้งความสนุกและความน่าตื่นตาตื่นใจได้อยู่หมัดจริง ๆ มีการนำมุกตลกมาแทรกคั่นตามสไตล์หนังซุปเปอร์ฮีโร่แบบฟ้าสดใส และฉากแอ็กชันแบบเวอร์วังที่ทำให้เราสนุกไปกับมันได้ไม่ยาก รวมไปถึงการชวนให้เราลุ้นและงงฉงนไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากการปั่นป่วนเวลาของ Barry จนสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างมากในหลาย ๆ เรื่อง ยิ่งว่าด้วยเรื่องคอนเซ็ปต์ของเวลาที่ภาพยนตร์ได้อธิบายแล้ว ยิ่งสร้างความน่าสนใจขึ้นไปอีก เรียกได้ว่า ถ้าหากคุณได้ดูภาพยนตร์ก่อนหน้าอย่าง Man of Steel (2013) และ Batman V Superman: Dawn of Justice (2016) มาก่อน ความตื่นเต้นหวือหวาจากการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้จะพุ่งขึ้นทวีคูณเลยทีเดียว และยังไม่พอ ยังแฝงความเป็นดราม่าอันหนักอึ้งและยากลำบากในความสัมพันธ์ระหว่าง Barry และแม่ของเขาเอง ที่มองเห็นได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่ดีสำหรับการเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บทของเรื่องจะค่อย ๆ พุ่งทะยานขึ้นตลอดตั้งแต่เริ่ม แต่เห็นได้ว่าเรื่องราวกลับเริ่มสะดุดหน่อย ๆ ในช่วงท้ายของภาพยนตร์ ที่ดูเหมือนอาจจะรีบเร่งให้ตัดจบจนขาดความสมเหตุสมผลไปบางส่วน ซึ่งเป็นส่วนที่น่าเสียดายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้การออกแบบดีไซน์ที่ดูดีกับงานภาพที่หา(คำ)ชมได้ยากhttps://www.instagram.com/p/CtfC7T0y6oh/หนึ่งองค์ประกอบที่ต้องชมเชยในเรื่องนี้ คือ งานออกแบบที่ดูสวยงามและตระการตามาก ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็กชันที่ต้องโชว์ของถึงความเร็วเหนือแสงของ The Flash ให้เห็น หรือฉากที่ Barry เข้าสู่พื้นที่แห่ง Speed Force เพื่อข้ามเวลา ที่ซึ่งผู้เขียนต้องบอกเลยว่า นั่นเป็นส่วนที่สร้างความสุดยอดของ The Flash ฉบับนี้ให้มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากฉบับอื่นจริง ๆ แต่เชื่อว่าหลายคนที่ได้ชมก็อาจรู้สึกว่า งานภาพส่วนใหญ่ในเรื่องมีการใช้ CGI ที่สูงมากและดูแปลกตาไม่น้อยเลย แต่กระนั้นหากเรามองให้เห็นเป็นโลกที่บิดเบี้ยวจากการปั่นป่วนกระแสเวลาของ Barry เอง การที่งานภาพจะออกมาเป็นเช่นนั้น ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ก็เป็นได้ (ในสำหรับบางคนอะนะ)นักแสดงออกมาสร้างโมเมนต์https://www.instagram.com/p/CtXUiCxNq5q/ในภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างมีนักแสดง และ Cameo มากมายออกมาเรียกความตื่นเต้นของแฟน ๆ กันต่อเนื่องอย่างไม่หยุดไม่หย่อน(และรวดเร็ว) และถึงแม้จะมีข่าวโหมกระหน่ำถึงพฤติกรรมอันผิดปกติจากนักแสดงหลักของเรื่องอย่าง Ezra Miller แต่กระนั้นการแสดงของ Ezra ในฐานะชายผู้ที่เร็วที่สุดในโลก Barry Allen/The Flash ก็ช่วยแสดงให้เห็นว่า เขา คือ Barry ที่ดีคนหนึ่ง มีอารมณ์ขำและเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง ยิ่งการที่เขาต้องรับบทเป็น Barry ถึง 2 เส้นเวลา บวกกับกลิ่นอายความเป็นดราม่าที่เขาต้องเล่นให้ถึง ก็ยิ่งทำให้ต้องดึงศักยภาพการแสดงของเขาออกมามากขึ้น และ Ezra ก็ทำได้ดีและไม่ธรรมดาเลยhttps://www.instagram.com/p/CtSEE73gmZ3/ตัวละครถัดมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ Bruce Wayne/Batman ที่มากันถึง 2(?) เวอร์ชัน ทั้ง Ben Affleck จาก DCEU ที่ถึงแม้เขาจะมาแค่แปปเดียว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เหล่าแฟน ๆ รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็น Batman หุ่มหมีคนนี้กลับมาบนจออีกครั้ง และอีกคน คือ Michael Keaton อัศวินรัตติกาลระดับตำนานจาก Batman (1989) และ Batman Returns (1992) ที่เชื่อว่าแฟน ๆ ยุค 90 จำนวนไม่น้อยต้องปลื้มปิติและดีใจกับการกลับมารับบทของ Keaton ในรอบ 30 ปี และบทของเขาในเรื่องก็เปรียบเสมือนกับคนที่มาคอยช่วยเหลือ Barry ให้ผ่านพ้นสถานการณ์ และแน่นอนว่า มีโมเมนต์สุดเท่ออกมาให้เรารับชมกันเพียบสุด ๆhttps://www.instagram.com/p/CsZQieIvnnR/อีกหนึ่งตัวละครที่สร้างสีสันของเนื้อเรื่องไม่แพ้กัน คือ Kara Zor-El/Supergirl ของ Sasha Calle ที่ต้องบอกว่า ออร่าของเธอช่างเจิดประกายยิ่งนัก มีความเป็น Supergirl ที่ดูเท่ และดุดันกว่าในฉบับของ Melissa Benoist จากซีรีย์แห่งจักรวาล Arrowverse ที่เราคุ้นเคยอย่าง Supergirl (2015-2021) และถึงแม้จะเสียดายที่บทของเธอแทบจะไม่ส่งให้เธอได้เฉิดฉายเป็นเวลานาน แต่เธอก็ทำหน้าที่เป็น Supergirl ได้ดีเยี่ยมจริง ๆโดยสรุป The Flash เดอะ แฟลช คือ ภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ที่ออกมาเล่นใหญ่และตระการตาสุด ๆ มอบให้ทั้งความสนุก ตื่นเต้น และกลิ่นอายดราม่าที่อัดแน่นจากตัวละคร นอกจากนั้น คือ ประเด็นมัสติเวิร์สที่ภาพยนตร์ได้นำเสนอ และนำพาเหล่าตัวละครและนักแสดงสุดคลาสสิคในตำนานได้กลับมากันอีกครั้งก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มอบให้ไม่น้อยเลย8/10 - Bigger story for The Flashhttps://www.youtube.com/watch?v=r8heEaJWUzUThe Flash เดอะ แฟลช วันนี้ในโรงภาพยนตร์ขอบคุณข้อมูล รูปภาพและวิดีโอที่มาข้อมูล: Official Website dc.comภาพปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 | ภาพประกอบที่ 5 | ภาพประกอบที่ 6 จาก Official Instagram dctheflashคลิปวิดีโอจาก Youtube: Warner Bros. Thailandคอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน