โขม ก้องเกียรติ ใส่สุดพลังสานต่อจักรวาลขุนพันธ์ กับ “เสือ” ภาพยนตร์แอ็กชันมหามันส์แห่งปี

ที่มาที่ไปของโปรเจกต์ใหม่จาก “จักรวาลขุนพันธ์” นี้
โจทย์ของ “เสือ” มันก็เกิดจาก “จักรวาลขุนพันธ์” ความคิดเดียวกันกับตอนที่ทำ “ขุนพันธ์ 1-3” เราคุยกับทาง “เสี่ยเจียง สหมงคลฟิล์ม” (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ - ผู้อำนวยการสร้างบริหาร) ในเรื่องของการปั้น ไอคอนิก (Iconic) ขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตอนที่ทำขุนพันธ์ทั้งหมด มันเกิดมาจากเราเห็นโมเดลแบทแมนตอนเด็ก พอทำหนังเราอยากจะมีแบบนี้บ้าง ไม่ถึงกับเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่มีความแฟนตาซีอยู่ในโปรเจกต์ที่มีความดุดันจริงจังมากขึ้น ก็เกิดการเซตอัปขุนพันธ์ขึ้นในฝั่งตำรวจ รูปแบบคาแร็กเตอร์ก็คือดุเดือดเถรตรงสไตล์ขุนพันธ์ แต่พอมาเป็นฝั่งโจรที่ต้องเล่าถึงฝั่งเสือ มันจะมีความสนุกกว่า ไม่ตึงเท่ากับตอนทำขุนพันธ์ แล้วก็ไม่ใช่เสือตามประวัติศาสตร์ เป็นตัวละครที่ถูกสมมติขึ้นมา ฉะนั้นมันไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด มีความรีแลกซ์ได้ และมันก็ยังเกิดเป็นไอคอนิกฝั่งเสือได้อีก มันถูกทำไว้ ถูกคิดเอาไว้อยู่แล้ว
ทำไมถึงเลือกเสือ 4 ตัวมารวมกันก่อนที่จะทำภาคแยกทีละคน
จริงๆ พอสี่คนมาเจอกันมันยากมากในการเขียนบท แต่มันมีความสนุกกับไดเร็กชันของการมาเจอกัน ปะทะกัน สี่เสือ สี่คน สี่ทิศ พอมันเป็นโจร เป็นผู้ร้าย มันไม่มีความตรงไปตรงมาแบบขุนพันธ์ จะหักหลังกันเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อมันเข้ามาเจอกัน มันมีความอีนุงตุงนัง เหมือนลมที่มันมาเวลามีคลื่นในทะเล จุดที่มันเป็นเกาะแก่งแล้วมีคลื่น จุดนั้นจะแปรปรวนที่สุด เราเห็นความสนุกที่จะเกิดขึ้นตรงนี้
เราเลยอยากทำอันนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวเรื่องภาคแยกเราค่อยว่ากัน เราได้เห็น “เสือ” ทุกตัวมาแล้วใน “ขุนพันธ์” เข้าใจในมิชชันของเขา แต่ยังไม่เคยมีมุมของเสือจริงๆ ว่าแต่ละคนมันคิดอะไร เรารู้แล้วว่าเขามีอาคมอะไรกัน มีคาแร็กเตอร์ยังไง กระสุนคตโคตรเวอร์เลย ก็ต้องทำใจเพราะเป็นหนังเต็มไปด้วยอาคม มีความแอ็กชัน แฟนตาซี หวือหวา เพราะเราพยายามให้เป็นแบบนั้น มันเลยไม่ได้อยู่บนเงื่อนไขของความเป็นเรียลลิสติกเท่าไหร่ มันสนุกและฟรีฟอร์ม
ระหว่างทำขุนพันธ์ มันมีคิดไว้อยู่แล้วว่าจะทำอะไรสักอย่างกับเสือ และหลายคนเคยพูดว่าน่าจะมีฝั่งเสือบ้าง พอเรามีขุนพันธ์เป็นจุดสตาร์ต มันก็มีกระบวนการวางแผนมาประมาณหนึ่ง และได้เห็นแต่ละตัวแยกมาบ้างแล้วในขุนพันธ์ พอมาเรื่องเสือ มันเหมือนรวมฮิต รวมดาว เรารู้สึกว่ามันมีความมหรสพแบบที่เราชอบ รวมมิตรสี่คนมาเจอกัน เคมีของของ “พี่โอ้-พี่เวียร์-พี่เป้-พี่โน่”
เราคุ้นเคยกับคาแร็กเตอร์เหล่านี้ พอคนทำงานมันคุ้นเคยกับตัวละคร มันก็จะวิ่งอยู่ในหัวอยู่เรื่อยๆ คราวนี้มันมีโอกาสก็คุยกับทาง “คุณโอ๋ สหมงคลฟิล์ม” (จาตุศม เตชะรัตนประเสริฐ - โปรดิวเซอร์) ว่าทำเรื่องเสือเลยไหม ทำฝั่งโจร ในตอนแรกบทภาพยนตร์มันถูกเขียนขึ้นมาหลายเวอร์ชันมาก เพราะเรายังหาทิศทางที่มันจะบาลานซ์ตัวละครสี่คนแบบไหน มันตกหล่นไม่ได้สี่เส้นนี้ มันต้องมีแอร์ไทม์ พื้นที่ บทบาท แม้กระทั่งความลึกของตัวละครที่มันจำเป็นต้องต้องบาลานซ์กันให้ได้ เลยต้องคลำหากัน บทมันเลยใช้เวลา
พอยต์ของมันคือมันต้องกวนๆ พอมันเป็นคาแร็กเตอร์โจร อย่างที่บอกมันสนุกได้ ฟรีฟอร์ม หนังบ้านเราชอบโดนปัดเรตกลายเป็นซิกเนเจอร์ว่ารุนแรง เพราะฉะนั้นเลยพยายามทำหนังให้มันรุนแรงชนิดที่เด็กดูได้ เราอยากให้น้องวัยรุ่นมันดู ทิศทางของหนังก็จะมีทั้งความมันส์และบันเทิง วัยรุ่นอะดรีนาลินหลั่งแน่นอน
ตอนทำมันยากเพราะว่าอย่างที่บอกเรื่องบาลานซ์คาแร็กเตอร์ เรื่องงานกำกับ ทุกคนทำการบ้านกันสุดๆ การทำงานมันเดือดมาก ด้วยจำนวนความถี่ ด้วยเงื่อนไขมากมาย กับงานเอฟเฟกต์ที่เต็มไปหมดเหมือนตอนทำขุนพันธ์ แต่การเจอสี่คนนี้มันสนุกมาก ทุกคนรู้สึกว่ามากองถ่ายมันสนุกดี
มีพระเอกถึง 4 คน การบาลานซ์สัดส่วนยากแค่ไหน
ความยากมันอยู่ที่น้ำหนักในบท เราแก้กันหลายร่างอยู่เพราะว่าแต่ละก๊กมารวมกันมันมีหลายโมเมนตร์ เราจะจัดการยังไงภายในหนังสองชั่วโมงกว่า เราอยากให้คนดูเชื่อได้ว่านี่คือแพ็ก ฉะนั้นบาลานซ์ของมันจึงสำคัญ แน่นอนพระเอก 4 คนประสบการณ์มากมาย ต้องแชร์พื้นที่และมิติของการเดินเรื่องไปด้วยกันให้ดี
เราถูกสอนมาบ่อยแหละว่าความยากของหนังรวมสตาร์ถ้ากำกับไม่ดีเขาจะแข่งกันเด่น เหมือนพยายามตะโกนใส่กัน ถ้าภาษาดนตรีเขาเรียกว่าไม่ฮาร์โมนิก ไม่เกิดการประสานกัน แต่ข้อดีของเรื่องนี้ทุกคนเปล่งแสง เขามืออาชีพมันเลยมีเมจิกโมเมนตร์ มีพลังงานในเวลาที่เขาเล่นนอกบท คิวหลุดออกไปจากที่ซ้อม แต่เขาอิมโพรไวส์ออกมาทันกัน ไม่มีเงอะงะ เขารวมกันแล้วบาลานซ์กันเองได้ดี ไม่ได้พยายามเล่นจนคาแร็กเตอร์ขโมยซีนกันเอง แต่มันดันกลมกล่อมอยู่ในเรื่องนี้
ยกทีม “ขุนพันธ์” มาทั้งทีมเดิมเลยใช่ไหม
ใช่ บรรยากาศเรื่องนี้มันมีความรียูเนียนบางอย่าง แล้วมันสนุกไง ทีมงานกองถ่ายมันก็เหนื่อยทุกคนแหละ แต่เราเหนื่อยแบบคนวิ่งเป็น มันถูกวางแผนเอาไว้แล้ว และต้องทำงานกับสิบสองชั่วโมงต่อวัน
เราทำงานกับทาง “พี่ท็อป” (วีระพล ภูมาตย์ฝน) ผู้กำกับคิวบู๊ เราทำงานกันมาหลายเรื่อง ขุนพันธ์ก็ทำมาทุกภาค พอมาเรื่องนี้เขาจับคาแร็กเตอร์ได้แล้วเขาก็สนุกเวลาเขาคิดคิว ตัวพี่ท็อปเขามีความเป็นไดเรกเตอร์ เขาเข้าใจตัวละคร เข้าใจสถานการณ์ แอ็กชันไหนมันลึกลับ แอ็กชันไหนให้อารมณ์ไหน เราก็จะบรีฟคุยกันก่อน พอทำงานเรื่องบทก็เปิดกว้างเพื่อให้เขาไปดีไซน์มา พอเปิดทางพี่ท็อปก็จะใส่ลูกเล่นใหม่ๆ บางทีเราไม่รู้หรอกว่าสเปเชียลลิสต์ในแง่คิวแอ็กชันทริกไหนพิเศษยังไง พี่ท็อปเขาก็จะไปเวิร์กช็อปและถ่ายทำร่วมกับสตันต์มาให้ดูในระดับหนึ่ง ตัวเวิร์กช็อปมันมีค่ามาก เพราะจะถูกเอามาเป็นต้นแบบในการทำงานแง่ของการดีไซน์แอ็กชัน เราก็มีการแลกเปลี่ยนความคิดกันในการเพิ่ม ลด เติมลงไปเพื่อให้แอ็กชันมันชัดขึ้นตรงกับคาแร็กเตอร์ ส่วนใหญ่หลักๆ เราทำการบ้านกันสี่ฝ่ายคือผู้กำกับ, ผู้กำกับคิวบู๊, ทีมตากล้อง และผู้ช่วยผู้กำกับ และสำหรับเรื่องนี้แอ็กชันมันเยอะ ต้องมีการบาลานซ์กันว่าแอ็กชันไหนน้อย แอ็กชันช่วงไหนต้องมาก เป็นไซซ์ A B C
เรามีเมจิกไดเรกเตอร์ เราต้องเข้าใจบริบทของ “ขึก” (สิทธิชัย สิงหฬ - Magic Director) ก่อน ขึกมีประโยชน์มาก เมื่อก่อนเราจะเรียกอำกันเล่นว่าเมจิกไดเรกเตอร์ ทำมาตั้งแต่ “ลองของ” (2548) เราเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันมีตำแหน่งนี้จริงในอินโดฯ ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตำแหน่งนี้ทำหน้าที่หลาย
อย่าง เช่น กองถ่ายเจอผี ขึกก็จะไล่ผีได้ หลายกองใช้บริการแล้วได้ผลจริงว่าเขาถ่ายกันไม่ได้ ยกกอง ผีดุ อาจารย์ขึกก็จะไปจัดการ หาวิธีไล่ผีได้จริง มีความรู้อย่างเข้มข้นละเอียดในแง่ของคาถาอาคมอักขระโบราณอะไรทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ พระเครื่อง ในสายจอมเวทเขามีความรู้ เราให้โจทย์ไป เขาก็ไปหาข้อมูลเหมือนเป็นทีมรีเซิร์ช แล้วพวกการท่องมนตร์เราต้องการใช้สั้นๆ ในทางหนัง แต่มนตร์มายาว ขึกก็มีหน้าที่ติวให้ทุกคนว่าพูดยังไงตรงไหนได้บ้าง อยู่หน้าเซตก็คอยฟังว่าพูดผิดไหม ท่าทางกระทืบเท้า การไหว้เตรียมท่องมันต้องยังไง เพราะมันจะมั่วไม่ได้คนดูเขามีความรู้ อย่างมนตร์ที่เคยเอามาใช้ “นะ โม พุท ธา ยะ” ของ “เสือใบ” หรือ “วา โธ โน อะ มะ มะ วา วา” ของ “เสือฝ้าย” พวกนี้ก็จริง มีมนตร์ต่างถิ่นอีก ใครจะไปหาได้ เซิร์ชกูเกิลก็ไม่เจอ ก็มีขึกที่แหละที่ต้องไปหาสอน หาความหมายมา เขาทำงานสายเวท แล้วหนังมีเวทก็ต้องพึ่งพาเขา เขาจบนิเทศฯ มา ทำหนังกันมา ในทางของหนังเขาก็จะรู้ด้วยว่าตรงไหนถึงจะเหมาะในทิศทางของหนัง บางทีถ้าเราเอาหมอผีจริงมา มันก็จะไม่ได้แง่ของทางหนังที่ต้องการ
เสื้อผ้าก็ยังเป็น “บั๊วะ” (นิรชรา วรรณาลัย - ออกแบบเครื่องแต่งกาย รางวัลสุพรรณหงส์) ยังไงก็ต้องเป็นบั๊วะเพราะทำมาทุกภาคของขุนพันธ์ โปรดักชันดีไซน์คือ “พี่เดอ” (ธนะ เมฆาอัมพุท - ออกแบบงานสร้าง รางวัลสุพรรณหงส์) ทุกคนยังเป็นเซตอัปเดิมที่ทำขุนพันธ์ ถ้าชุดทำงานเดิมในการทำงาน มันจะสนุกและง่ายต่อการเข้าใจในเรื่องของยุค เรื่องของความต้องการในฉากนั้น โดยไม่ต้องมานั่งนับหนึ่งรีเซิร์ชกันใหม่
เรื่องราวของ “เสือ”
จุดเริ่มต้นอยู่ในช่วงกำลังจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนนั้นญี่ปุ่นต้องเคลื่อนกำลังพลผ่านไทยหวังใช้ไทยเป็นจุดพัก ญี่ปุ่นมีสินทรัพย์ที่เป็นทองให้ไว้กับประเทศสยาม แล้วทองมันหายไปเกือบครึ่งโดยจับมือใครดมไม่ได้ แล้วยุคนั้นเป็นยุคที่ “เสือ” เบ่งบาน ใครๆ ก็กลายเป็นโจร เป็นเสือ คุมแก๊งนั้น หัวเมืองโน้น ตามถิ่นของใครของมันเต็มไปหมด เป็นยุคที่เรียกว่ารัฐบาลประกาศสงครามกับเหล่าอาชญากรเพื่อไล่ล่าเหตุผลที่ทองมันหายไป รัฐบาลเลยใช้เหตุผลนี้โดยการออกล้างบางเสือ ประกาศขึ้นค่าหัว
โดยมีทีมหลักของกลุ่มนักล่าที่เหมือนหมาล่าเนื้อก็คือทีมของ “หลวงประสาน” ที่ “ท่านจอมพล” ฝั่งรัฐบาลใช้เป็นอาวุธในการไล่ล่าเสือ สมัยนั้นเสือมีค่าหัว 20 บาท 50 บาท แต่จะมี 4 คน ที่ 500 บาท แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีนกต่อมาจ้าง “เสือใบ” มาจัดการจอมพลด้วยค่าหัว 1 ล้านบาท แต่ “เสือมเหศวร”ตามมาจนได้กลิ่นก็อยากจะได้เงินนี้ด้วย ส่วน “เสือดำ” มันก็มีเหตุผลของมันที่อยากได้เงิน พอถึงจุดที่ต้อง
สังหารจอมพล จอมพลดันฉลาดกว่า จ้าง “เสือฝ้าย” มาอยู่ฝั่งตัวเอง เป็นคนคุ้มกันตัวเอง เสือแต่ละตัวมันเลยมาเจอกันด้วยมุมที่แตกต่างกันเพื่อเงิน 1 ล้านบาท
เรายังจะได้เห็นการต่อสู้ของ “เสือ” เหมือนใน “ขุนพันธ์” ไหม
ดีไซน์ของแอ็กชันมันถูกคิดโดยรองรับคำว่า “เสือมันฟรีฟอร์ม” มันต้องมีลีลาอะไรบางอย่างที่มันกวนๆ มากขึ้น ไม่ใช่แค่ดุอย่างเดียว ต้องมีจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบา ถามว่ามันใหม่กว่าเดิม ใหญ่กว่าเดิมไหม เราว่ามันสนุก เพราะความเป็นเสือนี่แหละ อย่างที่บอกมันคนละเงื่อนไข มันอยู่ในท่าทีเดียวกันกับขุนพันธ์ไม่ได้ทั้งหมด การดีไซน์แอ็กชันมันเลยไม่เหมือนกัน เหมือนเราไปดู “สไปเดอร์แมน” ลีลาหนังมันวัยรุ่นไฮสคูล จังหวะหรือบีตของหนังมันก็ตามคาแร็กเตอร์
ความสนุกของไดเร็กชันงานกำกับ การต่อสู้ด้วยมนตร์กับแอ็กชัน มันถูกทำรองรับเหตุผลของคาแร็กเตอร์เอาไว้หมดแล้ว เช่น ลีลาความเจ้าชู้ของ “เสือใบ” จะใช้ภาพตอนกระสุนคตมันคดเคี้ยวไล่ล่ายังไง “มเหศวร” แคล้วคลาด ชุดพลังและอาวุธ และการอมพระมเหศวรหลบพลิ้วไหวไหลลื่นได้ถึงขนาดไหน วันนี้แต่ละคาแร็กเตอร์มันแข็งแรงแล้ว เรื่องพวกนี้ม้นก็เลยอยู่ในหัวเรามาตลอด
คาแร็กเตอร์ของ “เสือฝ้าย” ที่ครั้งนี้ได้ “เวียร์ ศุกลวัฒน์” มาเล่น
สมมติมีคนถามพี่ว่าอ้าว ทำไม “เป้-มาริโอ้-โตโน่” ยังเป็นหน้าเดิม พี่ก็จนปัญญาจะตอบ อีกมุมหนึ่งมันก็เป็นเซอร์ไพรส์ด้วยที่ได้ “เวียร์” มา อีกเงื่อนไขหนึ่งก็คือ “พี่เบิร์ด” ของเรา ต้องไปรบช่วยชาติ เราคงไม่เห็นแก่ตัวเอาพี่เขามาไว้ในกองถ่ายนะครับ พี่ได้มีการโทรบอกกันกับพี่เบิร์ดให้เข้าใจแล้ว
“เสือฝ้าย” เปลี่ยน แต่คาถาไม่เปลี่ยน ยังเข้มข้นชัดเจนขึ้น สนุกขึ้น เสือฝ้ายเป็นคนยังไงก็แบบนั้น เขาเป็นเสือที่เน้นปกครอง สร้างสังคม สร้างระบบ เขาถึงขึ้นมาเป็นระดับมาเฟีย เป็นผู้ทรงอิทธิพล นิ่ง พูดน้อย แต่ถ้าพูดกูพูดทีเดียวรู้เรื่อง มีบารมี ใครจะมาข่มเขาไม่ได้ แต่เป็นคนใจกว้าง ไม่งั้นคนคงไม่รักหรอก อย่างที่เห็นในทีเซอร์คำพูดที่ว่า “มึงรู้ไหม มึงเหยียบตีนใครอยู่” ก็คือคนจริงที่น่ากลัว อาวุธของเสือฝ้ายเป็น “ปืนยาว” ที่คอนทินิวมาตั้งแต่ “ขุนพันธ์” กับมี “คาถาตวาดหิมพานต์” กระทืบเท้าคนกระเด็น
ในแง่ของกายภาพจินตนาการของผมคือมันต้องเท่ มีความกร้านแดด ใช้ชีวิตกลางแจ้ง แต่มันต้องเท่ ทำงานกับพี่เวียร์มาตั้งแต่ “Bangkok Breaking” มาหลายปี ทั้งซีรีส์ (2564) แล้วก็หนัง (2567) พี่เวียร์มักจะได้รับบทผู้ชายแสนดี วันหนึ่งเลยแซวกันเล่นๆ ว่าพี่เวียร์ไปเล่นหนังเป็นโจรบ้างไหม เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ไหม เขาก็สนใจอยากลองเล่นแบบนี้บ้าง ก็เลยเล่าคาแร็กเตอร์ของเสือฝ้ายให้ฟัง แกก็บอกงั้นผมไม่โกนหนวดเลยนะพี่ ปล่อยไปเรื่อยๆ พี่อยากได้แบบไหนค่อยมาแต่งกันวันฟิตติง
ท่ามกลางข่าวซุบซิบว่าตายแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพี่เวียร์ กลายเป็นคนจรไปแล้วเหรอ เอฟซีเขาแซวกัน พี่เวียร์ก็ไม่พูด พอวันฟิตติงใส่ชุดสูท ใช่แล้วๆ เรามาถูกทาง แล้วมันทำให้อีกสามเสือเดิมๆ ไม่ได้แล้ว เสื้อผ้าหน้าผมก็จะมีอะไรที่แอดวานซ์ขึ้นแหละ เพราะพี่เวียร์เขาสตรองมาก สิ่งที่ได้จากเขาอีกแบบคือ ความเป็นคนลุยๆ และตอนนี้เขามีครอบครัว มีลูก เขามีความเป็น Family Man แถมแอ็กชันก็ดีด้วย เขาขอปืนกลับไปบ้าน
นักแสดงทุกคนเรื่องนี้ทำการบ้านนอกรอบเยอะมาก ขอปืนกลับบ้านเพื่อไปควงเล่น สมัยก่อนยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน เราไม่รู้ว่าอันตรายมันจะมาเมื่อไหร่ สำหรับคนพวกนี้อาวุธมันคืออวัยวะ จับมันมาเป็นเวลานาน ชำนาญกับมันมาก ทีนี้นักแสดงทุกคนมันก็จะขอปืนกลับบ้าน “เป้” ขอไปขี่ม้านอกรอบ ไปซ้อมยิงปืน จนทุกคนมีพื้นฐานกันหมด เขาทำจนมันชำนาญคิวบู๊เลยออกมาสวย เราได้ความเป็นคุณพ่อของพี่เวียร์ แอ็กชันก็เท่ ได้ความอบอุ่น Daddy ในขณะที่ก็เป็นผู้มีอิทธิพลตัวเดินเกมด้วย
3 เสือเก่าเล่นเมจิกกันจนชินแล้ว เสืออย่าง “เวียร์” เขามาเจอกับพวกอาคม เขาเป็นยังไงบ้าง
ตอนที่เริ่มมีเล่าให้เขาฟัง ค่อยๆ จูนกันเกี่ยวกับตระกูลของจักรวาลนี้ มันเสกกันอย่างนึ้ มีอาคม มีเมจิก (Magic) มาเกี่ยวข้อง มันไม่เรียลลิสติกอยู่แล้ว ตอนเราทำเรื่องนี้ไม่เคยนิยามว่าจะเรียกว่าแฟนตาซี หรือแอ็กชันโรแมนติก เพราะมันผสมกันหลายอย่าง พี่เวียร์แกมีเขินบ้าง แต่พอมันรวมกลุ่มกันแล้วก็จะรู้สึกว่าเอาสิ ลุยเลย เพลินดี พอมาช่วงหลังก็เริ่มสนุกไปด้วยกัน 4 คน
การรวม 4 คนนี้ให้ได้คิวมันยากเพราะฮอตกันหมด สิ่งที่เราประทับใจคือทุกคนมาซ้อมแอ็กชันนอกรอบ หน้างานใช้สตันต์น้อยมาก มันมีฉากตะลุมบอนฉากหนึ่ง 50-60 คนอัดตะลุมบอนกันในพื้นที่ไม่กว้างมาก เสี่ยงที่จะอันตรายด้วย คิวมันต้องแม่น เพราะมันถูกดีไซน์ไว้กับมุมกล้อง พอ 4 คนซ้อมกันจนคิวมันแม่นละ วันหน้างานจริงมันมีจังหวะตะลุมบอน เป็นที่รู้กันว่าบางทีมันหลุดคิวจากที่เขาซ้อมกันมา ถ้าทั่วไปเขาก็คงคัตคงเทก แต่อันนี้พอมันหลุดเขาเอาตัวรอดได้ เพราะมันซ้อมบ่อยจนอิมโพรไวส์ (Improvise) กันไปได้ แล้วกลับเข้าชุดเดิมได้ ไม่มาเงอะงะพะวง มันจะมารอบทิศทางยังไงก็เอาอยู่ เป็นซีนสนุกและประทับใจสำหรับเรา
“เสือมเหศวร” (มาริโอ้ เมาเร่อ)
พอเราฟิตติง “พี่เวียร์” ออกมาแล้วมันอิมแพกต์มาก ในเสืออื่นๆ เราก็จะเติมจากเดิมที่มีมาอีกหน่อย อย่าง “เสือมเหศวร” ที่เราเคยรู้จักกันมาตั้งแต่ “ขุนพันธ์” เขาจะมีแมกคานิก (Mechanic) มีออปชันเยอะ สะบัดแขนแล้วมีปืนเล็กซ่อนออกมา รอบนี้เราก็เติมให้มันเยอะขึ้น มเหศวรเป็นจอมโจรสองหน้า มุมหนึ่งคืออยู่ในร่างของนักข่าวประจำสำนักพิมพ์แล้วก็ใช้โรงพิมพ์เป็นสถานปฏิบัติการ อีกมุมหนึ่งคือจอมโจรมเหศวร เขาเป็นคนรู้ข้อมูลเยอะรู้ลึก เมื่อมีข่าวของการลอบสังหาร “จอมพล” แล้วมีเงินรางวัลเกิดขึ้น เขาก็ลงมาเล่นด้วย
สิ่งที่เรารู้อยู่แล้วคือเสือมเหศวรมี “คาถาแคล้วคลาด” กระสุนจะมาทางไหนเบี่ยงหลบได้หมด แต่มันก็มีเงื่อนไขที่จะทำให้เขาพลาดได้เหมือนกัน ที่มาที่ไปของตัวละครก็ยังมีความลึกลับคลุมเครือว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นใครกันแน่ คาแร็กเตอร์จะมีความ “เชอร์ล็อกโฮล์มส์” (Sherlock Holmes)
“เสือใบ” (อารักษ์ อมรศุภศิริ)
“เสือใบ” เป็นพ่อหนุ่มเจ้าชู้เจ้าของคาถา “นะ โม พุท ธา ยะ” ปล่อย “กระสุนคต” กระสุนคตมันโคตรขี้โกงเลย เพลงดาบออกแรงน้อยมาก ปล่อยไปแล้วจะไปทำอะไรก็ทำไป เราก็คิดว่าถ้ามันมีเวลาขนาดนี้มันจะเป็นคนยังไง เขาน่าจะเจ้าชู้ เป็นนักดนตรี มีความ “เดสเพอราโด” (Desperado) เขาถูกเล่ามาแล้วว่า เสือใบชอบเล่นแเบนโจ (Banjo) เป่าเมาท์ออร์แกน นอกจากนี้เราจะได้เห็นเพื่อนเสือของเขาที่มากกว่า “เสือเบี้ย” ใน “ขุนพันธ์” เพราะจริงๆ แล้วเขาอยู่กับคณะวงดนตรีชื่อว่า “วงใบไม้” ซึ่งก็คือกลุ่มโจรที่มันซ่อนตัวอยู่ภายใต้วงดนตรีเร่ จะมีรถคันหนึ่งที่เป็นคาราวาน จอดรถเปิดรถตั้งวงได้ จะมีลักษณะเหมือนพวกยิปซีสายแคมป์ ไม่อยู่ปักหลัก เพราะย้ายที่ปล้นไปเรื่อยๆ เสือใบเหมือนนกไร้ขามันแลนดิงไม่ได้ คาแร็กเตอร์เลยมีความกะล่อนพร้อมที่จะพลิกเกม มีมุมขี้โกง ไม่เลือกวิธี
เป็นความโชคดีของกองถ่าย ด้วยความที่นักแสดงในวงใบไม้ ตัวจริงเขาก็เป็นนักดนตรี “พี่มิตร” (ฟิต มิตรด้าม), “พี่กอล์ฟ”, “พี่เม้ง” (Desktop Error) มาตีกลอง ก่อนเข้าฉากเขาก็ไปแต่งเพลงกัน แต่งมาสองเพลงแล้วเราเลือกมาใช้ มันเป็นแค่ฉากผ่านๆ แต่มันกลายเป็นความโชคดีและความสนุกของแก๊งนี้ และในส่วนของเสือใบเพื่อให้เห็นความกะล่อนของเขา ความจี๊ดจ๊าดแซ่บมันก็ต้องออกมาในทางเสื้อผ้าด้วย คนอะไรใส่สูทสีทอง ก็ต้องเสือใบเพราะเขาเป็นนักดนตรี
ช่วงที่ “เป้” เป็นผู้กำกับ “เดอะ สโตน” (พระแท้ คนเก๊) เขาก็สนใจในมุมของงานกำกับด้วย การที่เขามากอง อีกโพซิชันหนึ่งคือมานั่งหน้าข้างมอนิเตอร์ มาปรึกษากันในแง่กำกับหนังเรื่องแรกมันต้องยังไง และในแง่ของเสือใบพอมันห่างไปประมาณหนึ่งก็ต้องใช้เวลากับคาแร็กเตอร์นี้หน่อย เล่นผ่านไปสักอาทิตย์ เป้เขาก็ตะโกนออกมาว่า “เสือใบกลับมาแล้วเว้ย” เริ่มลิงก์กับเสือใบที่เคยเล่นได้ละ
เราสนุกกับการที่ทำให้นักแสดงมันเหมือนมีสแตนด์สิงอยู่ เวลาประมวล รื้อลิ้นชักคาแร็กเตอร์เจอ มันคลิกกันได้เลยทันที ตัว “พี่โน่” เองที่เป็น “เสือดำ” ตอน “ขุนพันธ์” มีความเถื่อน มืดดำ แบ็กกราวด์เขาดาร์กมาก พอมาภาคนี้เสือดำเขายังไม่เป็นอย่างที่เราเคยเห็น เราก็ตีกันอยู่พักใหญ่เกี่ยวกับคาแร็กเตอร์เสือดำในภาคนี้ ก็พยายามทำความเข้าใจระหว่างทางกันมาเรื่อยๆ ให้รู้ว่าทิศทางของเสือดำใน “เสือ” ที่ไม่ซ้ำเดิม เสือดำที่คุณคิดว่าโหดบางทีมันมีมุมอะไรบางอย่างของมันอยู่
คำว่าเมจิกโมเมนต์ บางทีมันไม่ได้ขึ้นมาจากการจัดวางไปหมด มันมาจากการชำรุดขาดๆ เกินๆ เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุผลว่าทำไมเราชอบอิมโพรไวส์ แน่นอนเวลาเราเขียนบทหรือเตรียมงาน เรายังไม่ได้เห็นเคมีของนักแสดง พอมันมารันจริงมีบางเหลี่ยมเยอะมาก เราก็ต้องเลือกใช้มัน ถ้าไม่เลือกทำ เมจิกโมเมนต์มันอาจจะไม่มีอีกแล้ว เราย้อนกลับมาถ่ายใหม่ไม่ได้ ไดเรกเตอร์มันต้องเห็นสิ่งนี้ ซึ่งมันก็ต้องมาเดิมพันอีกว่าเมจิกโมเมนต์ที่มีมันจะทำงานไหม
เสือดำ (ภาคิน คำวิลัยศักดิ์)
ภาคนี้เราจะเห็น “เสือเฒ่า” ที่เคยถูกปูไว้ก่อนแล้วใน “ขุนพันธ์” ว่า “เสือดำ” มันถูกเลี้ยงมาโดยโจรกลุ่มนี้ มีการถ่ายทอดวิชาอาคมหลายอย่าง มากกว่าที่เราเคยเห็นว่ามันมี “คาถาซัดฝุ่น” เห็นความซื่อ ความไม่รู้ ไม่ได้เรียน ตอนที่ปล้นมายังใช้วิธีเอาไม้กั้นเงินแบ่งเป็นกองเท่าๆ กัน แต่ไม่รู้หรอกว่ามันกองละเท่าไหร่ บาทหนึ่งของทองนี่มันเท่าไหร่ ก่อนที่เขาจะไปดูดฝิ่น คาแร็กเตอร์ดำมืดใน “ขุนพันธ์ 3” สีสันของตัวเสือดำในภาคนี้ก็จะไม่ตึงเหมือนที่เคยเห็น และอาจจะเรียกว่าน่ารักได้เลย ก็ต้องมีการปรับจูนกันในส่วนของคาแร็กเตอร์เสือดำในภาคนี้กับ “โน่” เขาประมาณหนึ่ง
ตัวร้ายตัวใหม่ของจักรวาลขุนพันธ์ “หลวงประสาน” (ท็อป-ทศพล หมายสุข)
เราดีไซน์กลุ่มของ “หลวงประสาน” ให้เป็นทีมล่า ไฮยีน่าหรือฝูงหมาหมาป่าแล้วแต่จะเรียก มีคนทีมนี้ประมาณอีก 5-6 คน มันไม่ใช่สายคุณธรรม แต่เป็นสายล่าค่าหัวที่ทำในนามราชการ ได้ฆ่าพวกเสืออย่างถูกกฎหมาย แถมได้ตังค์ด้วย เราเห็นในตัวอย่างมีรอยสักยันต์เต็มหลัง แน่นอนว่าเขาต้องมีเวทมนตร์ของเขา 4 เสือมีของขนาดนี้ หลวงประสานก็ต้องมีของเหมือนกัน
หลวงประสานทำงานเป็นมือขวาและบอดี้การ์ดให้กับ “จอมพล” เป็นทีมมืดๆ งานคัตติงชุดก็ต้องมีความสมาร์ต ไม่ต้องร่างยักษ์ใหญ่แต่ดูแกร่งได้ ซึ่ง “ท็อป” ตอบโจทย์ หน้าคมแบบไทย ก่อนจะได้ร่วมงานกันมันมีอยู่งานหนึ่งท็อปเป็นพิธีกร พี่ไปร่วมงานแล้วเจอกันในลิฟต์ ท็อปก็ทักพี่ว่าอยากแจมในหนังพี่โขมบ้าง มันก็เป็นจังหวะที่เอาสิ มีโอกาสมาเจอกันในหนังพี่หน่อย ตอนนั้นก็รู้สึกว่าท็อปเข้าทางอยู่ เขาคือคนที่ต้องเอา 4 คนนี้ลงให้ได้ มันต้องสตรองพอ และตัวท็อปเองเจองานที่มันหนักมาอยู่แล้วอย่าง “วัยหนุ่ม” (2567) ก็สบายเลย
เราเชื่อว่าบทหลวงประสาน ท็อปทำได้อยู่แล้ว มีคุยไอเดียถึงแก๊งของเขาว่าเป็นเหมือนกลุ่มไล่ล่า เวลาปล่อยไปแล้วกลุ่มนี้น่ากลัว แต่จริงแล้วมันก็ไม่ได้อยากจะล่าค่าหัวไปตลอดหรอก เขาก็มีความทะเยอทะยานอยากเติบโตในทางการเมือง มีหัวคิดก้าวหน้าแบบสมัยใหม่ แต่ก็คาดหวังตำแหน่ง จอมพลก็ให้ความหวังประมาณว่าถ้าผมได้เป็นนายกฯ ถ้ามันสำเร็จ ตำแหน่งรองนายกก็เป็นของคุณ ตัวละครก็จะมีแบ็กกราวด์เหล่านี้อยู่
อีกคาแร็กเตอร์ตัวเชื่อมโยงเสือทั้ง 4 ตัวอย่าง “รสริน” (หลิน-มชณต สุวรรณมาศ)
“หลิน” เป็นนักแสดงที่แจมหนังเรานิดหน่อยมาตลอด เล่น “Bangkok Breaking” เล่นนิดเดียวแต่ดีมาก เล่น “ช.พ.๑” และเป็น “อีกี้” ใน MV ดังเลย เราจะนึกถึงหลินตลอดเพราะว่าน้องมันเก่ง หน้าตาก็เก๋มาก หน้าแปลงร่างได้เหมือน “มิสทีค” (X-Men) ด้วยความเป็นนางแบบแต่งอะไรก็สวย ดูเก๋ไปหมด พอมาฟิตติง ทุกคนพูดกันว่าเหมือน “ซูฉี” (นักแสดงไต้หวัน) เลยนะ มันถูกต้องมากด้วยชุด ด้วยโพส ลงตัวเลย
ในเรื่องนี้ตัว “รสริน” จะมีหลายชั้นหลายเลเยอร์มาก เขาเป็นสายลับที่ถูกฝังตัวมาในรูปของการเป็นซูเปอร์สตาร์ มีเสน่ห์แพรวพราว ในขณะเดียวกันก็เป็นนกต่อจ้างเสือแต่ละคนมา ฉะนั้นเขาต้องหาวิธีเข้าหาแต่ละเสือที่แตกต่างกันออกไป เป็นตัวละครอีกตัวที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงเรื่องราวที่มีมิติ มีเลเยอร์ค่อนข้างเยอะ ซึ่งเขาก็ทำได้ดี แล้วหลินต้องแอ็กชันด้วย ก็เล่นบู๊ดี ตอนที่บอกเขาว่า พี่จะทำ ‘เสือ’ พี่มีบทให้หลินเล่น เขาก็ตื่นเต้นจะได้เล่นแอ็กชัน เขาก็ไปเข้าฟิตเนสปั้นหุ่นมา ทีนี้ก็ยิ่งดีเลย สวย แข็งแรง ดูทะมัดทะแมงขึ้นไปอีก
ในเรื่องนี้เราจะได้เห็น “เสือ” สู้กันอย่างคู่ “มาริโอ้” กับ “เป้ อารักษ์” มันเป็นยังไง
เป็นฉากระหว่าง “เสือใบ” สู้กับ “เสือมเหศวร” เราดีไซน์แอ็กชันที่จะได้เห็นความพลิ้วและความกวนของทั้งคู่ไว้ แอ็กชันไล่ล่าของสองเสือในแนวสนุกสนานไม่ตึงเครียดชนิดเอาเป็นเอาตาย โดยเอา “กระสุนคต” มาเจอกับ “แคล้วคลาด” แล้วมันจะยังไง จะแพ้ชนะกันด้วยวิธีไหน
เหตุการณ์คือเสือใบไปบุกถ้ำเสือของมเหศวรที่โรงพิมพ์เขา แล้วเกิดการปะทะต่อสู้กันตั้งแต่มือเปล่า ไปจนอาวุธ อาคม แล้วมันขี้โกงทั้งคู่ จริงๆ ในเรื่องนี้มีการดีไซน์คิวแอ็กชันไว้หลายแบบตลอดทั้งเรื่อง เหมือนคุณเดินเข้าไปใน Exhibition แล้วเราได้เจอผลงานในเนื้อเรื่องเดียวกันเรื่อยๆ ฉากนี้ก็เหมือนต้อนรับคนเข้ามาในโรงใหม่ๆ เรียกน้ำย่อยก่อนเป็นคำแรกของจาน
ทีนี้ในการต่อสู้ของ “มาริโอ้” นอกจากเขาจะมี “คาถาแคล้วคลาด” เขายังมี “วิชาลิงลม” มีความสามารถว่องไวในการหลบหลีกอาวุธต่างๆ ในการถ่ายทำเราออกแบบอุปกรณ์เพื่อให้โอ้วิ่งพรีเซนต์วิชา ถ้าปกติที่เขาทำกันคือเราถ่ายวิ่งบนกรีนสกรีน แล้วเขียนแบ็กกราวด์ผ่านไปเร็วๆ เหมือน “เดอะแฟลช” แต่เรารู้สึกว่าเราอยากให้วิชานี้มันเร็ว แต่ไม่เร็วเหนือแสงขนาดนั้น ก็เหมือนคนวิ่งเร็วนี่แหละแต่กล้องยังตามทัน มันก็เลยมีการเอาลู่วิ่งเทรดมิล (Treadmill) มาดัดแปลงให้มันกลายเป็นริก (Rig) เชื่อมต่อกับรถ ATV ที่ติดกล้อง เพื่อที่จะลากโอ้ที่วิ่งบนเทรดมิลไปด้วยถ่ายไปด้วย ระยะทางต้องยาวมากพอที่จะทำสปีดได้ โอ้ก็วิ่งบนรถลากนี้จนสุดขอบตึก เพื่อที่จะให้ได้ช็อตการวิ่งหนีกระสุนคต แล้วเราเปิดกล้องมาคิวแรกก็แอ็กชันอันนี้เลย ทีมงานทุกคนบอกเอาอันนี้ก่อนเลยเหรอ ผมบอกเอาเลยอุ่นเครื่อง โอ้ได้วิ่งสับตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องเลย
ฉากที่ “4 เสือ” เจอกันครั้งแรก รับน้องใหม่ “เวียร์” เข้าสู่จักรวาลเป็นยังไงบ้าง
เป็นวันแรกของ “เวียร์” ในฐานะ “เสือฝ้าย” ที่ต้องมาเจอกับ “เสือดำ”, “เสือมเหศวร”, “เสือใบ” ในเหตุการณ์ต่างคนต่างรับงานมาในภารกิจเดียวกัน เป็นอริและพร้อมบวกกันในงานนี้ และก็เป็นครั้งแรกในการเข้าฉากรวมตัวกันของนักแสดง 4 คนในเรื่อง ถึงจะเป็นเซตไม่ใหญ่ในทางโปรดักชัน แต่ใหญ่มากสำหรับเรื่องที่ต้องเปิดตัวเสือฝ้าย ซีนแรกของพี่เวียร์ก็มาบู๊กันเลย และเสือแต่ละตัวมันคือไอคอนิกกันหมด ในแง่ของแอ็กชันเราไม่ห่วง แต่เราห่วงในแง่เราเปิดตัวเขาทั้งสามคนได้อิมแพกต์พอไหม และทำให้มันเกิดการจะเชียร์ใครดี เป็นซีนที่เราเห็นในทีเซอร์ที่เสือฝ้ายพูดว่า “พวกมึงรู้ใช่ไหม ว่าเหยียบตีนใครอยู่” แล้วก็ซัดกัน เราถ่ายกันประมาณ 3 วันได้ในซีนที่ประลองฝีมือกันครั้งแรก คือทั้ง 4 คาแร็กเตอร์นี้มันไม่ต้องอธิบายกันเยอะแล้ว เพราะมันเป็นชุดความรู้ที่คนออกแบบคิวบู๊อย่าง “พี่ท็อป” (วีระพล ภูมาตย์ฝน) เข้าใจมันอยู่แล้ว แต่การเปิดตัวแต่ละมุมมันต้องใช้เวลาในการปั้นช็อตของแต่ละตัว โชว์สกิลและความเจ๋งที่เอากันไม่ลง
“ฉากงานฤดูหนาว” อันยิ่งใหญ่ คนมาร่วมงานฉากนี้ฉากเดียวกว่า 500 ชีวิต
เหตุการณ์มันคือเป็นวันที่ “เสือ” จะมาลอบสังหาร “จอมพล” เพื่อชิงเงินค่าหัว ในงานฤดูหนาวเซตงานใหญ่เหมือนงานกาชาดสวนอัมพร จะมีเปิดร้านขายของ คนเดินเที่ยว แล้วเกิดเหตุการณ์ระเบิดคนวิ่งหนีตายกัน มีกลุ่มก้อนแก๊งที่มีภารกิจแฝงอยู่อีกหลายมิชชัน ซึ่งในการถ่ายทำมีกล้องหลายตัว มีโดรนรอมุมกว้างอีก คิวทุกอย่างเลยเยอะ มันก็มีเหตุการณ์บรรยากาศก่อนที่จะเริ่มแอ็กชันในฉากนี้กัน จนลากยาวกัน
เข้าไปสู้ต่อกันในอาคาร เป็นฉากที่ซ้อมแล้วซ้อมอีก ทั้งคิวกล้อง คิวเอฟเฟกต์ คิวมันเยอะและซับซ้อนมาก ไล่ซีนนี้กันมาตั้งแต่เหตุการณ์ภายนอก เข้ามาสู้ต่อกันด้านใน เรามีการซ้อมคิวบู๊มาตั้งแต่เตรียมงานหลายครั้ง ซีนนี้มันใหญ่เพราะคน เพราะคิว เอฟเฟกต์ ซีจี วันนั้นน่าจะมีคนมาร่วมฉากประมาณ 500-600 คนได้ รวมทีมงานด้วย วงโยธวาทิตรุ่นน้องจากโรงเรียนผมที่ ภ.ป.ร. ทีมสตันต์ ชาวบ้าน ทหารตำรวจที่ต้องมายิงกับพวกโจร กลุ่มเสือ อั้งยี่ แป๊ะยิ้ม วงดนตรี ฉากนี้ฉากเดียวใช้เวลาถ่ายไป 2-3 วันได้ ถือว่าเป็นฉากที่มีคนมาร่วมงานนี้กันมากที่สุดของเรื่องแล้ว และรวมสตันต์เรียกว่าเกือบทั้งประเทศอยู่ในฉากนี้ฉากเดียว
ฉาก “รสริน” ต้องสู้กับ “เสือมเหศวร”
ในเรื่องนี้มันมีไอเดียในการทำซีนแอ็กชันที่อยากให้ออกมามีความเซ็กซี่ เย้ายวน กวนๆ หน่อย ก็ได้มาซึ่งฉากที่ “รสริน” ต้องต่อสู้กับ “เสือมเหศวร” เป็นคิวแอ็กชันที่ใช้พื้นที่สู้กันน้อยที่สุดแล้วคือสู้กันในรถ เห็นคาแร็กเตอร์ของคนสองหน้ากับโจรสองหน้ามาเจอกัน เห็นความสัมพันธ์ของคู่นี้โดยผ่านงานแอ็กชัน คืออย่างที่บอกรสรินมันเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับทุกคน การที่จะเข้าหาเสือตัวไหน หรือมีจุดที่จะต้องเจอกันก็แตกต่างกันไป มีการไขว้คู่เล่าเรื่องไว้หลายแบบ ทั้งเสือสู้แยกคู่ เสือรวมสู้กันเองจากทุกทิศ สู้กับเสือตัวอื่น หรือแม้กระทั่งกับตัวรสรินที่รอบนี้ก็มีคิวแอ็กชันกับ “นุ้ย” (เกศริน เอกธวัชกุล) ที่เติบโตมาในสายหนังแอ็กชันของ “สหมงคลฟิล์มฯ” มานาน นุ้ยกลับมารอบนี้ยังเท้าหนักเหมือนเดิม นี่ก็จะเป็นอีกคู่ที่จับคู่กันแล้วสนุก
ซีนแอ็กชันใหญ่ยักษ์ของเรื่อง
เป็นซีนใหญ่สนามรบสุดท้ายที่จะตายกันไปข้างหนึ่ง ทั้งฝั่งเสือเองที่ต้องสู้กัน ฝั่งตรงข้ามที่ต้องเข้ามากวาดให้เรียบอีก ทีมงานเรียกมันว่า “ทุ่งสังหาร” เราไปถ่ายทำกันที่ “เขาอีโต้” ลานจอดเฮลิคอปเตอร์กว้างๆ โล่งใหญ่เหมือนสนามฟุตบอล ทีมงานเตรียมงานกันเยอะมาก อากาศช่วงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน ด้วยความที่เป็นลานหิน ล้มไปเจ็บแน่ ก็จะต้องหาวิธีช่วยเซฟนักแสดงทุกคน และต้องมีการพรางเอฟเฟกต์อีก เลยต้องมีใบไม้แห้งมาเทกลบให้ เลือกสีเป็นเหมือนน้ำตาลไหม้พวกใบไม้แห้ง ที่ที่เราถ่ายเป็นเขาเลยไปจะเป็นที่ซ้อมรบซ้อมยิงของทหาร เราต้องไปแจ้งก่อนว่าจะมีหนังแอ็กชันยิงกันตู้มต้าม มีระเบิดนาปาล์มระเบิดลูกใหญ่ไฟลุกท่วม เพราะตอนนั้นสถานการณ์มันเปราะบาง เดี๋ยวเขายิงสวนขึ้นมา
ทีมงานก็ตื่นเต้นกันมาก เพราะฝังเอฟเฟกต์กันทั้งลาน มีไปลากเก้าอี้สนามมานั่งรอชมการกดระเบิดของพี่ พี่ก็กดเลย ทำการตัดริบบิ้นเปิดฤกษ์ ตู้มต้ามสวยงาม การกดระเบิดมันไม่ยากหรอก แต่ไอ้ตอนดับนี่สิ ลืมไปว่าปูไว้ด้วยใบไม้ มันก็ไหม้ แต่ทีมงานมันก็เตรียมไปแล้วพวกเครื่องดับเพลิง แล้วฉากนี้ไม่ได้มีแค่ระเบิดอย่างเดียว ต้องมีคิวแอ็กชัน เอฟเฟกต์ สลิง เยอะมาก มันมีทุกรูปแบบในการต่อสู้ ทั้งอาวุธ อาคม ต้องมีเครื่องพ่นควันที่จะล้อมภูเขาเอาไว้ด้วยสโมกแบบพิเศษใหญ่มากฉีดกันทั้งลาน เป็นซีนที่วุ่นใช้ได้ แต่แน่นอนก็ออกมาทั้งมันส์และสวยงาม
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa