Short Comment: Mrs Chatterjee vs Norway สงครามของแม่ (2023): อึดอัดกดดันโดยไม่บีบคั้นลุ้นระทึกเร้าใจทุกนาทีกับหัวใจยิ่งใหญ่ของแม่ผู้ไม่ยอมแพ้เล่าให้ฟังสักนิดกับการสนทนาระหว่างดูไปบ่นไปกับคนที่บ่นใส่ดูไปบ่นไปบ่อยๆคือคุณแม่บ้าน หัวข้อการสนทนาระหว่างเราสองคนบนโต๊ะอาหารค่ำหนึ่งซึ่งคุณแม่บ้านที่ปัจจุบันนางเป็นสาวกละครเกาหลีชนิดถอนตัวไม่ขึ้นคือดูทุกคืนดูแบบออกอากาศสดหลายเรื่องต่อสัปดาห์ซึ่งก็มีบ้างที่ผู้เขียนดูไปพร้อมกับนาง การสนทนาเริ่มต้นที่ว่าเดี๋ยวนี้ผู้เขียนไม่ค่อยดูหนังจีนทั้งที่เมื่อก่อนดูหนังจีนเป็นอันดับหนึ่ง เหตุผลก็คือปัจจุบันหนังจีนค่อนข้างหาดูยากเพราะไปอยู่ในแอปที่ผู้เขียนไม่มีติดบ้านไอ้ครั้นจะมีเพิ่มก็ไม่ค่อยตรงใจนัก หนังจีนกับผู้เขียนจึงต้องห่างกันสักพักรอว่ามาลงสตรีมแอปที่มีจึงค่อยได้ดู แต่ที่แซงหนังจีนขึ้นมาจนผู้เขียนดูบ่อยรองจากเกาหลีและฝรั่งคือหนังญี่ปุ่นกับอินเดียโดยเฉพาะอินเดียค่อนข้างมีให้เลือกดูอย่างหลากหลาย แต่บางครั้งก็ต้องมีอะไรมาสะกิดใจบ้างจึงเปิดดูเพราะหนังอินเดียปัจจุบันมาตรฐานค่อนข้างสูงในส่วนของการผลิตและองค์ประกอบอื่นทำให้ตัดสินใจยาก นั่นคือหนังอินเดียดีขึ้นน่าดูขึ้นเหมือนกับเรื่องนี้ที่ผู้เขียนเพิ่งดูจบไปเพราะเห็นนักแสดงนำคือรานี มุเคอร์จีที่การันตีงานดีได้อีกคนของอินเดียเทพิกา แชทเธอจี (รานี มุเคอร์จี) แม่บ้านชาวอินเดียที่ติดตามอนิรุท แชทเธอนี (อเนียบัน พัทธาชารยา) ผู้เป็นสามีไปตั้งรกรากที่ประเทศนอร์เวย์จนมีลูกสองคนโดยเฉพาะคนเล็กอายุเพียงห้าเดือน ด้วยความต่างทางวัฒนธรรมที่ไม่ผ่านสายตาผู้ประเมินจากหน่วยงานรัฐของนอร์เวย์ที่มีกฎหมายคุ้มครองเด็กที่เข้มแข็งก็ทำให้สองสามีภรรยาถูกพรากลูกทั้งสองให้ไปอยู่ในการปกครองของรัฐ แล้วด้วยหัวใจที่แหลกสลายของเทพิกาผู้เป็นแม่เธอจึงต่อสู้ทุกวิถีทางตามกระบวนการซึ่งก็เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ถูกกีดกันด้วยข้อกล่าวหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนไม่สามารถพาลูกกลับมาได้แต่เทพิกาไม่เคยยอมแพ้ กระทั่งเข้าตาจนเธอจึงลักพาตัวลูกทั้งสองพยายามเดินทางข้ามพรหมแดนนอร์เวย์เพื่อหนีออกนอกประเทศแต่ก็ไม่พ้นจนทำให้สถานการณ์แย่ลง แต่แล้วเหมือนสวรรค์เป็นใจเมื่อมีนักการเมืองอินเดียมาเยือนนอร์เวย์เธอจึงเข้าไปร้องเรียนและทางรัฐบาลอินเดียจึงเข้ามาแทรกแซง ทว่าด้วยความฉ้อฉลทางกระบวนการและสามีที่ไม่ยืนเคียงข้างเธอก็พบความผิดหวังอีกครั้งแล้วเทพิกาจะได้ลูกคืนมาอย่างไรแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่ถูกเล่าอย่างสมจริงอึดอัดคับแค้นกดดันเร้าใจโดยไม่บีบคั้น ถ้าไม่บอกว่านี่คือเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงตัวละครอ้างอิงจากบุคคลที่มีตัวตนจริงๆรับรองว่าผู้เขียนจะบอกว่านี่คืองานตามสูตร แต่วลีที่ว่าโลกนี้คือละครก็ยังคงเป็นจริงเสมอเมื่อเรื่องจริงเรื่องนี้คือสูตรของงานคอร์ทรูมดราม่าขึ้นโรงขึ้นศาลดีๆนี่เอง แล้วเมื่อมาเป็นบทหนังก็ใช้ชั้นเชิงความเป็นหนังใส่เข้าไปด้วยการผลักให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ร้ายที่น่ารังเกียจแม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎหมายและอาจไม่มีใครผิดหรือถูก เมื่อแบ่งแยกทางอารมณ์ชัดคนดูจึงรู้สึกอึดอัดกดดันคับแค้นเจียนคลั่งไม่ต่างจากที่เทพิกา แชทเธอจีรู้สึก และผู้เขียนเชื่อว่าถ้าใครที่เป็นแม่คนแล้วมาได้ดูเหตุการณ์แบบนี้ที่เป็นเรื่องจริงจะยิ่งคับแค้นหนักเพราะขนาดผู้เขียนเป็นผู้ชายเป็นพ่อมิใช่แม่ที่อุ้มท้องและคลอดลูกออกมายังแทบหัวใจสลายตาม แต่ที่น่าทึ่งคือหนังไม่พยายามบีบคั้นหรือบีบน้ำตาทั้งที่ถ้าจะบีบคงไหลมาเป็นสาย อาจเพราะเล่าจากเรื่องจริงเลยปล่อยไปตามอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างสมจริงแต่ใครเล่าจะอดกลั้นไว้ได้สตรีผู้หาญสู้กับประเทศเพื่อสิทธิ์การเลี้ยงดูบุตรที่ไม่ควรต้องมาต่อสู้ บางครั้งเรื่องของกฎหมายกับจารีตประเพณีก็ใช่ว่าจะไปด้วยกันได้ทำให้เกิดเส้นแบ่งทางนิติธรรมและมโนธรรมอยู่ร่ำไป แน่นอนทุกครั้งที่ใครสักคนได้รับความอยุติธรรมจากกฎหมายมักจะมาจากคนที่เอากฎหมายไปใช้ที่มีได้สองอย่างหนึ่งคือตึงตามข้อกฎหมายเกินไปและสองใช้ช่องว่างทางกฎหมายมาแสวงผลประโยชน์ แต่เรื่องแบบนี้เรื่องของสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตรจากแม่ที่คลอดลูกมาเองแบบนี้ไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันหากมีหัวใจและเปิดใจ แม้หนังจะไม่ชี้ชัดเรื่องผลประโยชน์และความฉ้อฉลในองค์กรของรัฐที่ใช้กฎหมายแต่เมื่อหัวใจของแม่ถูกย่ำยีทำร้ายอย่าว่าแต่ประเทศหนึ่งต่อให้ต้องสู้กับทั้งโลกแม่ก็ทำได้ หนังจึงชี้ให้เห็นหัวใจของแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมหยุดแม้จะแพ้มาทุกครั้งถูกตราหน้าว่าเป็นบ้าที่การต่อสู้เพื่อลูกคือสิ่งที่พึงกระทำ แม้จะชี้ให้เห็นเช่นกันว่าไม่ใช่แม่ทุกคนที่จะเป็นได้แบบนี้แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งการต่อสู้แบบคนบ้าก็เพราะลูกคือโลกทั้งใบของแม่ หนังอาจบอกแบบนี้แบบจงใจแต่ใครจะสนเมื่อทุกคนเทใจให้เทพิกาหมดแล้วมีผัวผิดคิดจนตัวตาย ส่วนสำคัญที่ทำให้หนังได้ใจคนดูไปหมดสิ้นคือความเห็นใจและสงสารเทพิกาที่อาจได้กลิ่นความจงใจยัดเข้ามาออกนอกหน้าอยู่บ้างแต่ไม่ได้ชัดจนน่าเกลียด และเพราะเรื่องนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงชะตากรรมของผู้หญิงหนึ่งคนที่ทำทุกอย่างถูกต้องตามขนบของสตรีอินเดียแต่ต้องมาพบชะตากรรมที่โหดร้ายเยี่ยงนี้ทำให้แม้จะดูจงใจแต่ก็ไม่สำคัญ ซึ่งเมื่อต้องพบกับเรื่องที่เกินรับไหวคนที่ควรอยู่เคียงข้างคอยปลอบประโลมและต่อสู้ไปด้วยกันคือสามีที่พาภรรยามาตั้งรกรากในต่างประเทศในสังคมที่ไม่คุ้นเคยและแปลกแยกทางวิถีชีวิตวัฒนธรรม แต่เทพิกากลับต้องเผชิญกับการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวเพราะสามีไม่กล้าที่จะสู้ฝ่าฟันไปกับเธอแถมยังยอมแพ้และยังไม่พอยังทำร้ายจิตใจในตอนท้ายที่เป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัย ซึ่งเรื่องแบบนี้ถูกถ่ายทอดออกมาจากหนังอินเดียที่เป็นประเทศที่สังคมนิยมชายเป็นใหญ่หนังจึงบอกกับผู้หญิงกลายๆว่าการทำทุกอย่างตามครรลองอาจไม่เพียงพอ แต่บางครั้งการทำตามหัวใจของตัวเองอาจพบสิ่งที่ดีกว่าเหมือนเทพิกาที่ไม่ควรเจอเรื่องแบบนี้ขอแค่สามีรักและสู้ไปกับเธอแม้จะไม่บีบค้นไม่เร่งน้ำตาแต่ทุกอารมณ์ที่พึงมีถูก "รานี มุเคอร์จี" แจกจ่ายให้อย่างไม่มีที่ติ ความจริงจะว่าแปลกก็แปลกเพราะโดยปกติหนังอินเดียจะมากจะน้อยก็จะมีการขยี้หรือขยายดราม่าเพื่อเรียกน้ำตาอยู่บ้างแต่เรื่องนี้กลับไม่ทำแบบนั้น แต่แม้จะไม่บีบไม่คั้นหนังก็ยังเกาะกุมหัวใจคนดูได้จัดการอารมณ์คนดูได้ทุกอารมณ์ที่ต้องการจากการเรียกความสงสารเห็นใจตามธรรมชาติมนุษย์ ซึ่งว่ากันตามจริงเรื่องนี้ง่ายมากที่จะขยี้เอาน้ำตามาเป็นสายน้ำแต่กลับปล่อยให้เหตุการณ์พาไปพร้อมกับเทพิกา ทำให้อึดอัดคับแค้นแทนเธอเพราะความสงสารเรียกอาการขอบตาชื้นขมในคออยู่ได้เรื่อยๆ ทั้งหมดทั้งมวลคือการแสดงที่สุดกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วและที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้เพราะบทอยู่ในการรับผิดชอบของระดับแนวหน้าของบอลลีวู้ดอีกหนึ่งคนคือรานี มุเคอร์จี เพราะหนังเดินเรื่องด้วยเรื่องของเธอทำให้เห็นว่านี่คือโลกของเธอจนรู้สึกว่าชุภและสุจีลูกสองคนของเธอคือโลกทั้งใบของเธอ ที่สำคัญนักแสดงสมทบคนอื่นก็เอาดีได้ด้วยสิถ้าไม่นับนักแสดงฝรั่งที่ดูตั้งใจเป็นตัวร้ายมาเพื่อให้เกลียดจนออกนอกหน้าไปหน่อยเถอะสะกดอารมณ์ทุกนาทีเพราะนี่คือเรืองอ่อนไหวที่ใครก็ต้องเห็นใจ เพราะเรื่องความรักของแม่เป็นเรื่องอ่อนไหวที่ใกล้ตัวที่สุดเพราะคนเป็นลูกจะรักแม่และคนเป็นแม่จะรักลูกหมดใจ หนังจึงเต็มไปด้วยฉากสะกดอารมณ์มากมายที่ทำให้เห็นถึงความรักของแม่ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกที่แลกได้แม้กระทั่งชีวิต ซึ่งหนังแบบนี้หนังเกี่ยวกับความรักของแม่ที่สื่อผ่านความเจ็บปวดของแม่แบบนี้เอาจริงก็มีให้เห็นมากมายดีบ้างแย่บ้างก็สร้างมาให้ดูกันอยู่เรื่อย ยิ่งสถานการณ์ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลหลายศาลจากนอร์เวย์มาถึงอินเดียที่มีหลายอย่างที่เหมือนตั้งใจผลักให้อารมณ์คนดูไปสู่จุดอับ แต่นั่นกลับทำให้คนดูดูเรื่องนี้ได้อย่างสนุกระทึกเร้าใจทุกนาทีเพราะตั้งแต่เปิดหัวมาก็เริ่มมาด้วยความสงสารและหัวใจเจียนสลายแล้ว แล้วที่ทำให้ดีกรีความเข้มข้นเร้าใจไปสุดทางแม้ว่าจะเห็นเป็นการกระตุ้นอารมณ์อย่างว่าที่เป็นคนละส่วนกับการบีบน้ำตาที่เรื่องนี้ไม่มาบีบ นั่นเพราะคนดูเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องนี้ถูกสร้างด้วยแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง คนดูจึงเชื่อทุกสิ่งที่ใส่เข้ามาทำให้ทุกนาทีที่ผ่านไปกลายเป็นความน่าจดจำเป็นหนังดีที่ควรดูดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3,4,5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram emmayentertainment ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/1Eqjewez6WWDhttps://entertainment.trueid.net/detail/pJGojq7pjNZJhttps://entertainment.trueid.net/detail/be4bRqDz6VxBhttps://entertainment.trueid.net/detail/gJR4oz4AeYQ0จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !