รีเซต

มาร์เวล ยืนยันไม่ฟื้นคืนชีพ "Iron Man" แน่นอน ย้ำไม่ต้องการทำลายโมเมนต์ในอดีต

มาร์เวล ยืนยันไม่ฟื้นคืนชีพ "Iron Man" แน่นอน ย้ำไม่ต้องการทำลายโมเมนต์ในอดีต
แบไต๋
5 ธันวาคม 2566 ( 11:00 )
150

ณ เวลานี้ ที่จักรวาล MCU ของ Marvel Studio กำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงปลาย ๆ ของเฟส 5 ภายใต้ Multiverse Saga ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า ทิศทางของคอนเทนต์ในแต่ละไตเติล ตั้งแต่สิ้นสุดยุค Infinity Saga หรือหลังจากหนัง ‘Avengers: Endgame’ (2019) กลับไม่ได้มีทิศทางที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนัก จนทำให้แฟน ๆ บางส่วนเริ่มไม่อยากติดตามเนื้อหาที่มีมากมาย แต่ยังขาดตัวละครบรรดาซูเปอร์ฮีโรที่คนดูรู้สึกเหมือนได้เติบโตมาด้วยกันอย่างแท้จริง

ก่อนก้าวเข้าสู่เฟสที่ 6 ที่จะมีการครอสโอเวอร์จะเกิดขึ้นใน ‘Avengers: The Kang Dynasty’ (ที่จะฉายในปี 2026) และ ‘Avengers: Secret Wars’ (ที่จะฉายในปี 2027) ก็เลยทำให้มีข่าวลือวงในจากสื่อออกมาก่อนหน้านี้ว่า หากยุคสมัยแห่งมัลติเวิร์สยังขาดตัวละครที่คนดูรัก Marvel Studios อาจเลือกใช้วิธีหักดิบด้วยการฟื้นคืนชีพตัวละคร และนักแสดง ทีม Avengers ยอดนิยมจากยุค Infinity Saga กลับมาใหม่แบบดื้อ ๆ เสียเลย

โดยล่าสุด เควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธานของ Marvel Studios ได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดในนิตยสาร Vanity Fair ฉบับล่าสุด เกี่ยวกับข่าวลือที่จะมีการนำตัวละครทีม Avengers ยุคคลาสสิก อย่าง โทนี สตาร์ก (Tony Stark) หรือ Iron Man ที่แสดงโดย โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) และตัวละคร นาตาชา โรมานอฟฟ์ (Natasha Romanoff) หรือ Black Widow ที่รับบทโดย สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) กลับมาใน Avengers ยุคใหม่

ซึ่งไฟกีเองก็ได้ยืนยันชัดเจนว่า เขาไม่มีแผนที่จะนำ 2 ตัวละครที่เหลือแต่ชื่อ โดยเฉพาะ Iron Man กลับมาอีกในอนาคตอย่างแน่นอน

“ปี 2019 เราทุกคนทำงานกันอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น และเราคงจะไม่ไปย้อนเวลาแก้ไขมันอย่างแน่นอน เราอยากจะเก็บช่วงเวลานั้นเอาไว้ และจะไม่ไปแตะต้องกับช่วงเวลานั้นอีกเด็ดขาด”

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์ Variety ได้รายงานบทความเกี่ยวกับความล้มเหลวของ Marvel Studios ในช่วงที่ผ่านมา โดยมีส่วนหนึ่งของรายงานระบุว่า สตูดิโอต้องการที่จะนำตัวละครจากทีม Avengers ชุดแรก อาทิ Iron Man และ Black Widow กลับมาอีกครั้งในภาพยนตร์ Avengers 2 ภาคที่จะเกิดขึ้นล่าสุด ซึ่งหมายความว่าทั้งดาวนีย์ จูเนียร์ และโจแฮนส์สัน อาจต้องกลับมารับบทบาทของตัวเอง และหากข่าวลือเป็นจริง สตูดิโออาจต้องทุ่มจ่ายค่าตัวมหาศาลให้กับนักแสดงที่โด่งดังระดับโลกในเวลานี้ด้วยเช่นกัน

แม้ดาวนีย์ จูเนียร์ จะเคยมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากหนังชีวประวัติ ‘Chaplin’ (1993) แต่ผลพวงจากอาการติดยาเสพติด และเคยถูกจับกุมและติดคุกมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเขาถูกจับกุมในข้อหาครอบครอบเฮโรอีน โคเคน และอาวุธปืนในเมษายน ปี 1996 จนส่งผลทำให้เขาเองถูกฮอลลีวูดแบน เขาถูกไล่ออกจากบทบาทต่าง ๆ ที่เคยได้รับ ผลงานการแสดงของเขาในช่วงนั้นเรียกได้ว่าเข้าสู่ยุคมืดอย่างแท้จริง

จนกระทั่ง Marvel Studios ได้เริ่มต้นถ่ายทำหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรกของตัวเองอย่าง ‘Iron Man’ (2008) ซึ่งแม้จะมีตัวเลือกนักแสดงมากมาย แม้แต่กระทั่ง ทอม ครูซ (Tom Cruise) แต่ผู้กำกับอย่าง จอน ฟาฟโรว์ (Jon Favreau) กลับเลือกนักแสดงที่มีอดีตมาก่อนอย่างดาวนีย์ จูเนียร์แทน เพราะชื่นชอบการแสดงของเขาจากหนังเรื่อง ‘Kiss Kiss Bang Bang’ (2005) มีแต่เพียงผู้บริหารของ Marvel Entertainment ที่ไม่ต้องการจะให้เขามาแสดง เพราะมองว่าชื่อเสียในอดีตของเขาอาจมีผลต่ออนาคตของตัวหนังและบริษัทได้

ไฟกีเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า “ตอนนั้น บอร์ดของ Marvel มีแต่ความกังวลในการเสี่ยงเดิมพันหนังในอนาคตให้กับใครบางคนที่เคยมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องคดีความในอดีต ผมไม่ได้เก่งมาก ไม่ได้ฉลาดอะไร ก็เลยไม่ได้ตอบคำถามอะไรไปตอนนั้น และผมก็คงจะไม่อยากจะดราม่าเพื่อจะกำปั้นทุบดินอะไร ผมเพียงแค่พยายามที่จะทำให้ทุกคนได้เข้าใจชัดเจนว่า ทำไมเราถึงต้องเลือกเขา และนั่นคือจุดที่เราเริ่มต้นว่าจะให้เขามาลองทำ Screen Test ดู”

ภาพยนตร์ 9 เรื่อง ตลอดระยะเวลา 11 ปีเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่าทั้งไฟกี และฟาฟโรว์คิดถูก เพราะบทบาท โทนี สตาร์ก ของดาวนีย์ จูเนียร์ ทำให้ MCU เติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ เขาเองยังเป็นนักแสดงที่คอยหล่อเลี้ยงบรรยากาศในการทำงานของเหล่านักแสดงมาโดยตลอด ไฟกีเล่าถึงนักแสดงเจ้าของบท โทนี สตาร์ก เกี่ยวกับบทบาทนี้

“เราเคยล้อเล่นว่าโรเบิร์ตคือหัวหน้าแผนกนักแสดง เพราะทุกคนที่นั่นต่างก็ชื่นชอบเขา เขาโอบรับทุกคนไว้ใต้การดูแลของเขา แต่ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ แต่เขาเหมือนกับเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้กับเหล่านักแสดง วันหนึ่งในกองถ่ายหนัง ‘Avengers’ (2012) ภาคแรก ผมได้ยินเขาแนะนำ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) เกี่ยวกับวิธีการจัดการภาษีของเขาในการถ่ายทำที่ต่างประเทศ ด้วยการเสนอเขากับภรรยาเพื่อช่วยเหลือเรื่องเฉพาะเจาะจง เขาเองยังคงทำแบบนั้น และยังคงทำตลอดไป”


ที่มา: Vanity Fair, Variety