Black Mirror ซีรีส์แนวไซไฟตีแผ่ด้านมืดของเทคโนโลยีแบบจบในตอนได้กลับมาอีกครั้งใน Season 6 หลังจากที่ Black Mirror Season 5 ลงสตรีมมิ่ง Netflix ให้ได้ชมกันไปเมื่อปี 2019 โดยครั้งนี้มีมาให้ชม 5 ตอนด้วยกัน https://www.youtube.com/watch?v=5jY1ecibLYo&pp=ygUMYmxhY2sgbWlycm9y **เนื้อหาต่อไปนี้อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์** ตอนที่ 1 : Joan is Awfulเรื่องราวของ ‘โจน’ ผู้บริหารระดับกลางที่ใช้ชีวิตตามปกติแต่ตกเย็นมากลับพบว่าเรื่องราวของเธอถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ลงสตรีมมิ่งอย่าง 'Streamberry' โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวแถมโดนใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปอีกด้วยการเล่าเรื่องแบบตะโกน ตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อม ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าตัวเรื่องต้องการสื่อสารอะไรกับเรา อันดับแรกเลย Joan is awful ได้วิจารณ์เรื่องการสมัครบริการใดๆ ของมนุษย์เราที่มักจะเลื่อนผ่าน 'ข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการ' แล้วกดยินยอมไปโดยที่ไม่คิดจะอ่านมันแม้แต่ตัวอักษรเดียว กลายเป็นว่าเรายินยอมให้บริษัทนำข้อมูลของเราไปใช้ได้ตามเงื่อนไขที่บอกไว้ในข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บริการแบบงงๆ ไปโดยปริยาย ทั้งยังยังแอบเสียดสีสตรีมมิ่งต้นสังกัดอย่าง 'Netflix' ด้วยแบบเบาๆ และอีกอย่างที่พูดถึงในเรื่องก็คือความน่ากลัวของ 'เทคโนโลยี Deepfake' ที่ใครๆ ก็สามารถเอาหน้าเราไปใส่บนร่างกายของใครก็ได้ ในอิริยาบถไหนก็ได้ แถมการใส่อุปสรรคมาให้โจนแบบหาทางลงไม่ได้ ทำให้เราอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วโจนจะหาทางออกจากปัญหานี้ยังไง พร้อมตอนจบที่สมเป็น Black Mirror และแม้จะเป็นเพียงซีรีส์ตอนสั้นๆ แค่ประมาณ 1 ชั่วโมงแต่ใส่ประเด็นมาให้เราฉุกคิดแบบจุกๆ เลยทีเดียว ตอนที่ 2 : Loch Henry'เดวิส' และ 'เพีย' คู่รักที่กำลังถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับไข่กลับเปลี่ยนใจทำสารคดีตีแผ่เรื่องราวของ 'เอียน อะแดร์' ฆาตกรต่อเนื่องที่ทำให้เมืองล็อคเฮนรี่กลายเป็นเมืองที่เงียบเหงาและธุรกิจซบเซาซึ่งค่อยๆ พาพวกเขาไปพบกับความจริงอันน่าตกใจแทนแน่นอนว่าหากใครได้ดูแล้วก็จะรู้เลยว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่แอบจิกกัด Netflix เบาๆ ที่ในช่วง 2-3 ปีให้หลังนี้มีสารคดีเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องผลิตออกมาให้ชมอย่างไม่ขาดสาย เหมือนกับที่สองตัวเอกของเรื่องทำสารคดีของเอียน อะแดร์ ฆาตกรต่อเนื่องเมืองล็อคเฮนรี่ แถมลงสตรีมมิ่ง 'Streamberry' แล้วยังชนะรางวัล BAFTA อีกต่างหาก โทนของเรื่องนี้เล่าออกมาแบบเรื่อยๆ ไม่หวือหวามากนัก แต่มีกลิ่นอายของความน่ากลัวอยู่เบาๆ ด้วยสีของภาพที่ตั้งใจเกลี่ยออกมาในโทนเย็นให้ไวบ์แบบหนังสยองขวัญ กับตอนจบแบบหักมุมที่แม้เราพอจะเดาทางไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังพาให้เรารู้สึกหดหู่กว่าที่คิด ตอนที่ 3 : Beyond the Seaสองหนุ่มนักบินอวกาศ ‘คลิฟฟ์’ และ ‘เดวิด’ ที่ขึ้นไปทำภารกิจบนยานอวกาศสุดไฮเทค โดยที่พวกเขามีหุ่นจำลองอยู่บนโลกให้เชื่อมต่อลงมาเพื่อใช้เวลากับครอบครัวได้ แต่แล้ววันหนึ่งกลับเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น เมื่อหุ่นจำลองของเดวิดและครอบครัวของเขาถูกกลุ่มลัทธิหนึ่งฆาตกรรม ด้านคลิฟฟ์และ 'ลาน่า' ภรรยาของเขาจึงตกลงกันยอมให้เดวิดยืมหุ่นจำลองของเขาเพื่อลงมาผ่อนคลายบนโลกสำหรับตอนที่ 3 นี้ดูจะมีความเป็นไซไฟที่สุดของซีซั่นนี้แล้วด้วยเทคโนโลยีหุ่นจำลองของนักบินอวกาศทั้งสอง แต่ทางผู้เขียนมองว่าเนื้อเรื่องของตอนนี้จะเน้นหนักไปด้านความรู้สึกและจิตใจมากกว่า โดยตัวเรื่องพาเราไปสำรวจความรู้สึกและจิตใจของเดวิด มนุษย์ผู้มีบาดแผลทางจิตใจที่สูญเสียครอบครัวจากการถูกฆาตรกรรมโดยที่ตัวเองทำได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น พร้อมบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของคลิฟฟ์และภรรยาที่ดูจะห่างเหินกันมาเป็นเวลานานแล้ว ตอนที่ 4 : Mazey Dayเรื่องราวของ ‘โบ’ ปาปารัสซีสาวที่ตัดสินใจล้มเลิกการเดินทางในเส้นทางนี้ไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ แต่ชีวิตต้องกินต้องใช้เหมาะเจาะกับที่เธอรู้ข่าวว่าหากถ่ายรูป ‘เมซี่ย์ เดย์’ ดาราสาวที่ประสบข่าวฉาวและหายหน้าหายตาไปไม่มีใครพบเห็นได้จะได้รับค่าจ้างอย่างงาม ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเริ่มออกตามหาเมซี่ เดย์ตอนที่ 4 นี้ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบตัดสลับเรื่องราวของโบกับเมซี่ย์ เดย์สลับกันแต่ยังทำได้ไม่ลื่นไหลเท่าไหร่ บวกกับจุดหักมุมที่ทำเอาเหวออยู่เบาๆ เพราะคิดว่าคงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาใส่ไว้ในซีรีส์ไซไฟตีแผ่ด้านมืดของเทคโนโลยีหรอกมั้ง แต่ในตอนจบก็ยังคงคอนเซปต์ของซีรีส์ไว้ได้และชวนให้เราขบคิดถึงพฤติกรรมของมนุษย์ต่อไป ตอนที่ 5 : Demon 79ในปี 1979 ที่มีการเหยียดเชื้อชาติอย่างเปิดเผย ‘นีด้า’ หญิงสาวชาวอินเดียผู้อพยพมาทำงานขายรองเท้าในอังกฤษ ที่เผลอไปทำสัญญากับปีศาจฝึกหัดนามว่า ‘ก๊าป’ อย่างไม่ทันตั้งตัวและตั้งใจ โดยมีเงื่อนไขว่าเธอต้องฆ่าคนวันละ 1 คนใน 3 วันไม่อย่างนั้นโลกจะลุกเป็นไฟเรียกได้ว่าตอนนี้เป็นตอนที่ฉีกที่สุดของซีซั่นเลย หรือจะบอกว่าเป็นหนังสยองขวัญแนวไล่ฆ่าเลยก็ยังได้ เพราะตอนนี้ไม่ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีเลย แต่กลับพูดถึงความเชื่อเรื่องปีศาจและด้านมืดของจิตใจมนุษย์ในโทนตลกขบขัน และด้วยเงื่อนไขสัญญาทำให้นึกถึงปัญหารถราง (The trolley problem) ที่เป็นปัญหาทดลองทางความคิดเชิงจริยธรรมว่าเราจะเลือกสละชีวิตคนหนึ่งคนเพื่อคนหมู่มากหรือไม่ โดยรวมแล้วเนื้อหาของซีซั่นนี้ค่อนข้างเบาและมีความไซไฟน้อยกว่าซีซั่นก่อนๆ เล่าเรื่องตรงไปตรงมา ทำให้ดูง่าย และมีความเป็นหนังสยองขวัญมากกว่า เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของซีซั่นนี้อาจไม่ได้เน้นไปที่ด้านเทคโนโลยี แต่จะเน้นไปที่พฤติกรรมด้านมืดของมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งเนื้อหาโดยรวมและเมสเสจที่ผู้กำกับต้องการสื่อออกมายังทำออกมาได้ดีระดับหนึ่งในแง่ของการเสียดสีการใช้เทคโนโลยี แม้ไม่ได้รู้สึกว่าว้าวเท่ากับซีซั่นก่อนๆ ก็ตาม เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก, ภาพที่ 1, 2, 3, 4, 5 จาก Twitter @blackmirrorเครดิตวิดีโอวิดีโอที่ 1 จาก Netflix จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !