รีเซต

เคยสงสัยไหม? ทำไมหนังมอนสเตอร์ยุคใหม่ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ถึงไปไม่ถึงฝั่งฝัน

เคยสงสัยไหม? ทำไมหนังมอนสเตอร์ยุคใหม่ของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ถึงไปไม่ถึงฝั่งฝัน
แบไต๋
2 กรกฎาคม 2566 ( 14:30 )
154

Universal Pictures เป็นสตูดิโอผู้กุมสิทธิ์ในการสร้างหนังมอนสเตอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แดร็กคิวลา, แฟรงเกนสไตน์, มัมมี, มนุษย์หมาป่า และอีกมากมาย สตูดิโอได้ใช้เวลาหลายปีในการปั้นตัวละครให้กลายเป็นไอคอนสยองขวัญแห่งโลกภาพยนตร์จนมีแฟนคลับตามมามหาศาล

การมีคลังหนังมอนสเตอร์อยู่ในมือ เป็นเครื่องยืนยันว่าครั้งหนึ่ง Universal Pictures เคยโด่งดังในด้านหนังมอนสเตอร์มากแค่ไหน ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนังมอนสเตอร์กลับเจ๊งสนั่นอย่างน่าใจหาย ตั้งแต่ The Wolfman, Van Helsing หรือกระทั่ง The Mummy ของทอม ครูซเองนั้น ก็ไม่สามารถพยุงจักรวาลนี้ไปได้ไกลเลย เรามาดูกันดีกว่า ทำไมหนังมอนสตอร์ของ Universal ถึงไปไม่ถึงฝั่นฝัน

1) เดินเกมผิด เพราะความสำเร็จจาก The Mummy 

The Mummy ปี 1999 ที่นำแสดงโดยเบรนแดน เฟรเซอร์ (Brendan Fraser) นั้นสร้างปรากฏการณ์มหาศาล มันทำรายได้จนมีภาคต่อตามมา แถมปั้นคู่พระนางจนเป็นที่รู้จัก ทั้งยังมอบมุมมองใหม่ ๆ ให้กับแฟรนไชส์ The Mummy ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ Universal หมายมั่นว่าหนังมอนสเตอร์ของพวกเขาต่อจากนี้ จะอุดมไปด้วยฉากแอ็กชัน

หลังจากทิ้งห่างไปไม่นาน ในปี 2004 Universal จึงเข็นหนังมอนสเตอร์น้ำดีอย่าง Van Helsing ออกมา ซึ่งนำแสดงโดย ฮิวจ์ แจ็กแมน (Hugh Jackman) แถมอุดมไปด้วยมอนสเตอร์มากเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นยังสร้างโลกทัศน์ที่แปลกตา เต็มไปด้วย CG มากมาย ทว่าแม้จะทุ่มมากแค่ไหน Van Helsing ก็ไม่ได้ไปต่อ เพราะหลายอย่างในหนังกลับดูไร้ชีวิตชีวา จนใคร ๆ ต่างก็ครหาว่าเป็นหนังที่สร้างจากความสำเร็จของ The Mummy 

ความล้มเหลวของ Van Helsing ไม่ได้ทำให้ Universal เลิกคิดที่จะสร้างภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ด้วยมอนสเตอร์เหล่านี้ในทันที เพราะยุคนั้นเป็นยุคที่อุดมไปด้วยหนังแอ็กชัน ซึ่งความสำเร็จจากภาพยนตร์ Mummy ทั้ง 3 ภาคก็มีรายได้ที่เพียงพอจนทำให้สตูดิโอเชื่อว่า พวกเขาเดินเกมถูก

ด้วยการนั้นในปี 2014 ทำให้ Universal ได้เข็นหนัง Dracula Untold ออกมา ซึ่งเป็นหนังที่ย้อนไปสู่เรื่องราวต้นกำเนิดของแดร็กคูล่า โดยสตูดิโอหมายมั่นว่า จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการสร้างจักรวาลมอนสเตอร์ของพวกเขา แต่ทว่า Dracula Untold ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะมันออกมาในช่วงที่วงการอุดมไปด้วยหนังบล็อกบัสเตอร์ จนกระทั่งเจ๊งไปในที่สุด

ถ้าถามว่า Universal ยอมไหม แน่นอนว่าไม่

ในยุคนั้น สตูดิโอมากมายต่างพาเหรดกันออกมาสร้างจักรวาล ไม่ว่าจะเป็น Marvel ที่เพิ่งจับมือกับ Sony และปิดดีล Fox มาอยู่ในมือ, DC ที่ในตอนนั้นก็หวังพึ่งกับ Snyderverse, หรือจะ Legendary ที่มีภาพยนตร์มหาสัตว์ประหลาดอย่าง Godzilla กับ Kong 

แน่นอนว่า Universal ก็ตั้งมั่นเข็นจักรวาลตัวเองออกมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งพวกเขาเลือกที่จะรีบูตจักรวาลใหม่ด้วยการสร้าง Dark Universe โดยการใช้ The Mummy (2017) ของทอม ครูซ (Tom Cruise) เป็นตัวเปิดจักรวาล

ทว่า The Mummy ของ ทอม ครูซ ที่เป็นตัวเปิดจักรวาลก็ดันเจ๊งยับ จนปิดประตูจักรวาล Dark Universe ไปในแทบจะทันที นั่นเพราะ The Mummy ภาคใหม่นี้พยายามจะลบภาพจำของเวอร์ชันเดิมออกไป

นอกจากนั้นยังปูทางจักรวาลมากเกิน จนเหมือนการยัดเยียด รวมถึงการเข้ามายุ่มย่ามของดาราใหญ่ที่คุณก็รู้ว่าใคร นั่นทำให้ Dark Universe กลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ และปิดประตูฝาโลงหนึ่งในตำนานของฮอลลีวูดไป จนทำให้ปัจจุบัน Universal จึงกลับไปเน้นย้ำการสร้างหนังทีละเรื่องแทน 

2) หนังมอนสเตอร์ในปัจจุบันหมดความขลัง

ข้อต่อมาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์มอนสเตอร์ของ Universal นั่นคือมอนสเตอร์ยุคใหม่นั้น มันไม่น่ากลัวน่ะสิ ตัวละครต่าง ๆ โด่งดังจากการเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ แต่สตูดิโอกลับผลักดันให้ภาพยนตร์เหล่านั้นเข้าฉายในช่วงซัมเมอร์ แบบเดียวกับหนังครอบครัว Fast ซึ่งมันทำลายโอกาสที่มอนสเตอร์จะแสดงความน่ากลัวออกไป 

เนื่องจากการเข้าฉายช่วงนี้ ทำให้ผู้ชมมองว่าหนังมอนสเตอร์ยุคใหม่ ก็ไม่ต่างจากหนังป็อปคอร์นช่วงซัมเมอร์ มันสามารถดูสนุกได้เพลิน ๆ แต่ไม่ใช่หนังสยองขวัญอีกต่อไป ซึ่งทำให้หนังมอนสเตอร์เสียเอกลักษณ์ และความโดดเด่นในที่สุด

แม้ Universal จะอุดมไปด้วยตัวละครที่มีชื่อเสียงมากมาย แต่การพยายามจะดึงพวกเขาออกจากหนังสยองขวัญ และติดกับดักภาพยนตร์แอ็กชันอันน่าเบื่อ ก็แสดงให้เห็นว่าสตูดิโอไม่เข้าใจสัตว์ร้ายอันเป็นที่รัก ที่อยู่ในไส้เลย

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการมาของ ‘The Invisible Man’ ซึ่งเป็นสิ่งชี้ชัดว่าหนังมอนสเตอร์ของ Universal ยุคใหม่ควรมีลักษณะอย่างไร

ในปี 2020 The Invisible Man ทำให้ทุกคนประทับใจด้วยการถอดภาพจำของ Universal ออกไป แล้วนำเสนอใหม่ด้วยการใช้โมเดลของ Blumhouse (หนังที่ลดสเกลทุน แต่โดดเด่นด้วยบท และการนำเสนอ) มากกว่าการที่จะอุดมหนังด้วย CG ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า The Invisible Man มุ่งเน้นไปที่การบีบเค้นความกลัวของผู้ชมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้ The Invisible Man จะยังห่างไกลจากความเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่สมบูรณ์แบบ แต่ The Invisible Man ก็ได้นำเสนอความน่ากลัว ด้วยการใช้มอนสเตอร์อย่างสร้างสรรค์ นั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ แสดงภาพยุคใหม่ของภาพยนตร์มอนสเตอร์ของ Universal ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เรามองเห็นแนวทางว่า แม้แนวหนังยังเหมือนเดิม แต่มอนสเตอร์ก็ยังสามารถสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการได้

นอกจากนั้น การมาของ Renfield และหนังมอนสเตอร์อื่น ๆ ที่กำลังพัฒนา ก็ทำให้เราเห็นว่า Universal จะไม่ยอมแพ้ในการสร้างสรรค์หนังมอนสเตอร์ ซึ่งเราก็จะได้เห็นกันในอนาคตว่า ตำนานเหล่านี้จะเดินหน้าต่อในโลกสมัยใหม่ ได้ยังไงบ้าง