รีเซต

5 สัญญาณที่ชี้ว่าหนังเรื่องสุดท้าย "เควนติน ทาแรนติโน" เป็นภาคต่อของ Once Upon a Time in Hollywood

5 สัญญาณที่ชี้ว่าหนังเรื่องสุดท้าย "เควนติน ทาแรนติโน" เป็นภาคต่อของ Once Upon a Time in Hollywood
แบไต๋
19 มีนาคม 2566 ( 16:30 )
132

‘The Movie Critic’ ภาพยนตร์เรื่องที่ 10 และว่ากันว่านี่คือหนังเรื่องสุดท้ายของสุดยอดผู้กำกับ เควนติน ทาแรนติโน (Quentin Tarantino) ที่เรื่องราวของหนังจะพูดถึง พอลีน แคล (Pauline Kael) นักวิจารณ์ในตำนานของวงการหนังฮออลลีวูดในช่วงปี 70’s – 90’s ที่ตัวเขาเองก็กล่าวถึงเธอบ่อยมากในอดีตที่ผ่านมา และตัวหนัง ‘The Movie Critic’ ก็ดำเนินเรื่องในยุค 70’s และยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เกี่ยวพ้องต้องกันอยู่ 

หลาย ๆ อย่างที่ทำให้แฟน ๆ รู้สึกว่านี่คือหนังภาคต่อของ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ คือหนังดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงเวลาที่ทาแรนติโนโปรดปรานคือยุค 70’s  ที่ตัวเขาเองถึงกับเขียนหนังสือ ‘Cinema Speculation’ เป็นหนังสือสารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวของการทำหนังในยุคนั้น ซึ่ง ‘The Movie Critic’ ก็เข้าทางพอดีเพราะตัวหนังก็ดำเนินเรื่องในปี 1970 นั่นเอง เราจะมาดูกันว่ามีสัญญาณใดบ้างที่บ่งบอกว่า ‘The Movie Critic’ มีแนวโน้มจะเป็นหนังภาคต่อของ ‘Once Upon a Time in Hollywood’

5. ช่วงเวลาของ ‘The Movie Critic’ เป็นเหตุการณ์หลังจากหนัง ‘Once Upon a Time in Hollywood’

ในช่วงหลังของการทำหนังของเขาล้วนแต่เป็นหนังย้อนยุคทั้งสิ้น คือ Inglourious Basterds : (1941), Django Unchained : (1858), The Hateful Eight : (1877) และจนมาถึง Once Upon a Time in Hollywood : (1969) ที่วันเวลาของฉากสุดท้ายในหนังคือเดือนสิงหาคม 1969 ซึ่งสอดคล้องกับ ‘The Movie Critic’ ที่จะเริ่มเรื่องราวในปี 1970 แต่ถ้าหากมองกันในอีกมุมหนึ่งย้อนไปในหนัง ‘Django Unchained’ และ ‘The Hateful Eight’ ซึ่งเป็นหนังที่มีการคาดเดากันไว้ว่าอาจจะเป็นภาคต่อ เพราะก่อนหน้าที่จะมาเป็น ‘The Hateful Eight’ มันเคยชื่อ ‘Django in White Hell’ มาก่อนและถูกวางเอาไว้ให้เป็นภาคต่อของ ‘Django Unchained’ จริง ๆ แต่ที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่ เหมือนในกรณีนี้ที่ถึงแม้ว่า ‘The Movie Critic’ และ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ จะดำเนินเรื่องราวในสิ่งแวดล้อมเหมือน ๆ กันในยุคสมัยเดียวกันก็ยังไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่านี่คือหนังภาคต่อ จนกว่าเราจะได้พิสูจน์กันจริง ๆ เมื่อตอนออกฉาย

4. ‘The Movie Critic’ ใช้ Los Angeles เป็นฉากหลังในการถ่ายทำเหมือนกัน

สถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำหนังของ ‘The Movie Critic’ คือเมืองลอส แอนเจลิส ที่ Hollywood Boulevard ถูกเปลี่ยนเป็นมหานครแห่งหนังในยุค 60’s ทั้งหมด ซึ่งเป็นฉากเดียวกันกับ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ ทั้งสิ้น 

3. ‘The Movie Critic’ ใช้อุตสาหกรรมหนังในแวดวงฮอลลีวูดเป็นฉากในการบอกเล่าเรื่องเหมือนกัน

แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเกี่ยวกับวงการหนังแน่นอน และตัวละครหลักก็นำ พอลีน แคล (Pauline Kael) นักวิจารณ์ภาพยนตร์ในตำนานมาเป็นต้นแบบอีกเช่นกัน และในยุคนั้นนักวิจารณ์ต่างได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมเยียนกองถ่ายอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้รู้ถึงขั้นตอนการทำหนัง และความคืบหน้าของงานสร้างซึ่งสามารถนำเอาไปเขียนเป็นข่าวเผยแพร่ในสื่อให้ผู้คนรับรู้ ซึ่งในหนัง ‘The Movie Critic’ อาจจะมีฉากนึงที่โดนเซ็ตให้แคลกำลังเยี่ยมชมอยู่ในกองถ่ายของ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ ก็เป็นได้ ใครจะรู้

2. ทารันติโนพูดถึงภาคต่อของ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ บ่อยมาก

เรารู้กันมาตลอดว่าหนังของเขานั้นกว่าจะไฟนอลออกมาฉายในโรงให้เราดูกันล้วนแล้วแต่มีความยาวมาก ๆ ทั้งสิ้นเรียกว่าเกิน 3-4 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว เขาต้องจำใจกัดฟันตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในหนังน้อยที่สุดซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้หนังออกมาอยู่ในกรอบเวลาในโรงฉายให้ได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นเหมือนแผลใจของเขาเรื่อยมา และใน ‘Once Upon a Time in Hollywood’ ก็เช่นกัน เขาออกมาเปิดเผยว่าเขาจำใจต้องตัดฟุตเทจความยาวหลายชั่วโมงออกไป จนทำให้เขาคิดเรื่องภาคต่อของหนังเอาไว้ รวมถึงซีรีส์ ‘Bounty Law’ ที่กำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงหนังเรื่องราวชีวิตของ คลิฟฟ์ บูธตัวละครในหนัง ‘Once Upon a Time in Hollywood’ สมัยเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าในที่สุด ‘The Movie Critic’ จะกลายมาเป็นหนังภาคต่อจริง ๆ

1.หนังของเขามีหลาย ๆ สิ่งที่เชื่อมโยงกันอยู่

จักรวาลของทาแรนติโนในหนังนั้นเชื่อมต่อกันผ่านหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นตัวละครในหนังย้อนยุคที่กลับมาเกี่ยวข้องกับตัวละครในหนังสมัยใหม่ หรือพร้อพต่าง ๆ เช่นบุหรี่ Red Apple หรือร้าน Big Kahuna Burger ที่เราเห็นในหนังของเขาบ่อยครั้ง จึงไม่ต้องสงสัยกันเลยว่าหนัง ‘The Movie Critic’ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในจักรวาลหนังของเขา และอาจจะกลายเป็นหนังภาคต่อจริง ๆ ก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า ‘The Movie Critic’ กลายเป็นหนังภาคต่อของ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ จริง ๆ  นี่จะเป็นหนังภาคต่อเรื่องแรกของเขา และมันจะกลายเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เขาจะทำมันอีกด้วย 

อ้างอิง