"ภาพยนตร์อิสระ" หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า "หนังอินดี้" เป็นภาพยนตร์ที่มีสไตล์ในการนำเสนอภาพยนตร์ในรูปแบบที่แตกต่างจากภาพยนตร์ทั่วไป หรือบางทีก็อาจจะมีทุนน้อยกว่าด้วย ซึ่งภาพยนตร์พวกนี้ จะไม่ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ปกติ แต่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบเฉพาะ และส่วนใหญ่ ผลงานเหล่านี้มักจะเน้นการส่งชิงรางวัลในเทศกาลภาพยนตร์มากกว่า ซึ่งแนวภาพยนตร์แบบนี้นั้น ก็มีอยู่มากมายในประเทศไทย และมีผู้กำกับมากหน้าหลายตา อย่างเช่น อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล (สัตว์ประหลาด!, ลุงบุญมีระลึกชาติ) นวพล ธํารงรัตนฤทธิ์ (Mary is happy,Mary is happy, 36) อนุชา บุญยวรรธนะ (มะลิลา, อนธการ) และอีกมากมายหลายคนที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่บทความนี้เป็นบทความที่กล่าวถึงผลงานของผู้กำกับภาพยนตร์อิสระที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควรอย่าง "บุญส่ง นาคภู่" บุญส่ง นาคภู่ (มีชื่อเล่นว่า สืบ) คือนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์อิสระที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควรในวงการนี้ เนื่องด้วยผลงานของผู้กำกับท่านนี้ จะเน้นไปทางชีวิตชนบท ชนชั้นแรงงาน และวิถีทางศาสนา เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งภาพยนตร์อิสระที่ท่านกำกับนั้น มีอยู่ด้วยกันถึง 7 เรื่อง โดยมีบริษัท ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้น เพื่อสรรสร้างและเผยแพร่ผลงานเหล่านี้นั่นเอง และบทความนี้ เราจะมาพูดถึงผลงานเรื่องที่ 7 ของคุณสืบ อย่างเรื่อง "เณรกระโดดกำแพง" เรื่องราวของ "เณรกระโดดกำแพง" เป็นเรื่องราวที่เล่าซ้อนกันระหว่าง "โลกแห่งความฝัน" และ "โลกแห่งความเป็นจริง" โดยใน "โลกแห่งความจริง" จะเล่าถึง "สืบ" (บุญส่ง นาคภู่) ที่กำลังเดินทางหาโลเคชั่นกับทีมงาน 2 คน เพื่อที่จะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับตัวเขาในวัยเด็กที่เคยบวชเรียนเป็นเณร อันเนื่องมาจากฐานะที่ไม่ค่อยสู้ดี แต่ด้วยความฝันที่ต้องการจะแสดงและกำกับภาพยนตร์ จึงทำให้ตัวเขายอมรับผลที่ตามมา แม้จะยากเย็นก็ตาม ซึ่งในเรื่องราวส่วนนี้จะเห็นถึงความยากลำบากของทีมงานรวมถึงตัวสืบ ที่มักจะเจออุปสรรคมากมาย ทั้งเรื่องทุนและความไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน รวมถึงภาระของแต่ละคนที่มากมาย ส่วนใน "โลกแห่งความฝัน" จะเล่าถึงตัวภาพยนตร์ที่สืบคิดจะทำ โดยมี "รุ่ง" เด็กหนุ่มที่จำต้องบวชเรียนเป็นเณร เนื่องด้วยฐานะที่ยากจน แต่รุ่งนั้นมีความฝันก็คือ การได้รับชมภาพยนตร์และได้สร้างภาพยนตร์นั่นเอง จึงทำให้รุ่งมักจะกระโดดกำแพงวัดเพื่อไปดูภาพยนตร์กลางแปลง จนเกิดแรงบันดาลใจ ทำให้เขาอยากทำภาพยนตร์นั่นเอง โดยในส่วนนี้จะเล่าเป็นแบบย้อนอดีต และมีการเพิ่มเรื่องราวในชีวิตเณรรุ่งที่น่าสนใจอย่างมาก ทั้งเรื่อง รักครั้งแรก การทะเลาะวิวาท และชีวิตอันโลดโผนมากมาย ในตอนที่ผมได้ดูครั้งแรกนั้น ผมได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ที่มันแตกต่างจากผลงานของคุณสืบเรื่องอื่น ๆ เพราะเรื่องนี้ เล่าผ่านความรู้สึกของคุณสืบเองเลย ทั้งความฝันที่อยากจะให้เป็นจริง และความทะเยอทะยานที่จะให้มันเป็นจริงให้ได้ แม้จะมีเสียงคัดค้านจากทีมงานและอุปสรรคหลายอย่างที่มากมายจนแทบจะไม่ไหว แต่เพราะความตั้งใจอันแน่วแน่ของคุณสืบ จึงทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังสื่อถึงอุดมการณ์ที่เราตั้งใจจะทำอะไรให้แน่วแน่ มันพูดถึงความฝันที่เกิดขึ้นภายในหัวของเรา ซึ่งแน่นอนว่ามันยิ่งใหญ่ภายในหัวของเราแน่นอน แต่พอลองมาทำจริง ๆ ในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็จะพบว่า แท้จริงมันไม่ได้ง่ายแบบที่คิดไว้ มันมีอุปสรรคขวางกั้นตลอดเวลา ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่บอกกับเราว่า "มันควรจะพอได้แล้ว" แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คือ "บททดสอบ" ที่ลองใจเราว่า เราจะทำมันต่อดีไหม ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เราเห็นตอนที่คุณสืบกำลังครุ่นคิดอยู่กับอดีตของตัวเองว่าถ้าทำต่อ มันจะดีหรือไม่ สำหรับ "กำแพง" ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคิดว่ามันหมายถึง การตัดสินใจของเราเองว่า เราเลือกที่จะข้ามไปยังโลกแห่งความฝันหรือจะกลับมาโลกแห่งความจริง โดยในภาพยนตร์นั้น เราจะเห็นว่า เณรรุ่ง ข้ามกำแพงวัดออกไปเพื่อไปดูภาพยนตร์ (ความฝัน) และข้ามกลับเข้ามาในวัดเหมือนเดิม (ความจริง) ซึ่งนั่นก็อาจจะเปรียบได้อีกทางหนึ่งว่า ถึงแม้จะเราข้ามไปยังความฝันนานเพียงใด สุดท้ายเราก็ต้อง ก้าวเข้ามาสู่ความจริงเหมือนเดิม เมื่อผมดูจนจบนั้น สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของผมเลยก็คือ เราได้อะไรจากภาพยนตร์เรื่องนี้ ? เพราะเมื่อผมดูจบแล้ว มันให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างจาก "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" "วังพิกุล" หรือ "สถานี 4 ภาค" ที่ให้ความรู้สึกที่รันทดต่อสังคมชนบท ซึ่งเรื่องนี้ให้ความรู้สึกในเชิง "ความตลกร้ายของชายผู้คิดจะทำตามฝัน แต่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจก็เท่านั้นเอง" แต่เมื่อผมลองคิดไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ผู้กำกับหรือคุณสืบ ต้องการที่จะสื่อ อาจจะเป็น ให้เราเข้าใจถึง ความจริงที่เลวร้ายที่มันแตกต่างจากความฝัน แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือ หากเราทำความเข้าใจ และต้องการที่จะทำมันให้สำเร็จ เราก็คงจะต้องยอมกัดฟันและทำให้มันสำเร็จนั่นเอง ตัวผมนั้นได้มีโอกาสได้พูดถึงคุณสืบ เนื่องด้วยความรู้สึกที่ตราตรึงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ จนทราบได้ว่า ชีวิตของคุณสืบนั้นยากลำบากพอสมควร รวมถึงการสร้างภาพยนตร์ครั้งหนึ่งก็ยากเย็นเอามาก ๆ เพราะอุปสรรคมากมายที่ถาโถมเข้ามา แต่ด้วยจิตวิญญาณที่ต้องการจะสร้างภาพยนตร์ จึงทำให้ตัวคุณสืบไม่ย่อท้อ และพร้อมจะสู้กับอุปสรรคทุกสิ่งที่เข้ามา และทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงนั่นเอง เมื่อผมได้ฟังดังนั้นแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกฮึกเหิมและยิ่งเข้าใจในตัวภาพยนตร์เรื่องนี้มากขึ้น เป็นดั่งคำนิยมหน้าโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กล่าวโดย ฟิล์มไวรัส ว่า "นี่คือหนังที่ลงตัวที่สุดและจริงใจที่สุดของบุญส่ง" สรุปนะครับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีการสร้างเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ๆ ครับ ถึงแม้ว่าจะมีบางฉากที่ดูไม่เป็นส่วนของอดีต แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหามากครับ สรุปโดยรวมก็คือ ชอบมาก ๆ ครับ ในตอนนี้ ทางเพจ ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ได้มีการจำหน่ายจ่ายแจกภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วนะครับ ผู้ใดที่สนใจสามารถติดต่อไปที่ เพจ ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studio หรือทางตัวคุณสืบโดยตรง ได้ทางนี้เลยครับ Sueb Boonsong Nakphoo *เครดิตภาพ*ภาพทั้งหมดมาจาก เพจ ปลาเป็น ว่ายทวนน้ำ Plapen Film Studioภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4หมายเหตุ : ภาพปกและภาพโปสเตอร์ เป็นภาพที่ผู้เขียนถ่ายเอาเองภาพในบทความนี้ ได้รับอนุญาตจากทางคุณบุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เรียบร้อยแล้วขอขอบคุณ คุณบุญส่ง นาคภู่ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ