In My MemoriesOur Little Sister เพราะเราพี่น้องกัน (2015)ชีวิตจริงที่สวยงามเรียบง่ายไม่ใช่นิยายประโลมโลก อบอุ่นหัวใจไปกับความรักที่มีให้คนแปลกหน้าที่ได้ชื่อว่าน้องสาวคนเล็กไม่รู้ว่าท่านผู้อ่านเป็นเหมือนผู้เขียนหรือไม่คือเวลาดูหนังเรื่องหนึ่งแล้วคิดถึงหนังอีกเรื่องหนึ่งอาจเพราะเค้าโครงโทนหนังบรรยากาศหรือแม้กระทั่งนักแสดงที่ทำให้คิดถึง ซึ่งการถูกคิดถึงก็คือการที่หนังเรื่องนั้นๆได้ประทับอยู่ในความทรงจำของเราที่เป็นคนดูนั่นเองแม้ว่าในบางเวลาความทรงจำนั้นอาจไม่ผุดขึ้นมาเพราะไม่มีอะไรกระตุ้น เช่นเดียวกับผู้เขียนเองที่ได้ดูหนังเรื่อง Insomniacs After School ถ้านอนไม่หลับ ไปนับดาวกันไหม (2023) ที่อารมณ์ของหนังคล้ายจะเศร้าก็ไม่เศร้าจะซึ้งก็ไม่ซึ้งจะสดใสก็ไม่ใช่แต่ดูแล้วดีต่อใจดูแล้วมีความสุขแถมด้วยการเล่าเรื่องที่เหมือนชีวิตจริงจนไม่รู้ว่าเรื่องจะไปสิ้นสุดตรงไหน อารมณ์นั้นผู้เขียนคิดถึงหนังในความทรงจำเรื่องนี้ที่เคยเขียนไว้ในช่องทางหนึ่งเมื่อนานมาแล้วตอนที่หนังออกฉายแต่ค้นต้นฉบับไม่ได้ จึงมาร่ายทบทวนความทรงจำอีกสักครั้งหลังจากที่ได้ดูซ้ำรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบเพราะผู้เขียนรักหนังเรื่องนี้หนังที่เต็มไปด้วยนักแสดงที่มีเสน่ห์แต่เล่นเป็นคนธรรมดาได้อย่างน่าเชื่อถือ ทั้งฮารุกะ อายาเสะ,มาซามิ นากาซาวะ,คาโฮและซึสึ ฮิโรเสะในงานกำกับของฮิโรคาสึ โคเรเอดะเรื่องนี้นี่คือเรื่องในบ้านของสามพี่น้องสามสาวโสดที่มีอุปนิสัยต่างกันมีพี่สาวคนโตเป็นพยาบาลคือซาจิ (ฮารุกะ อายาเสะ) น้องสาวคนรองที่ทำงานธนาคารคือโยชิโนะ (มาซามิ นากาซาวะ) และน้องสาวคนเล็กในตอนนี้ที่ทำงานในร้านขายอุปกรณ์กีฬาคือจิกะ (คาโฮ) วันหนึ่งซาจิได้รับข่าวที่จะว่าร้ายก็ไม่ใช่ว่าพ่อที่ทิ้งพวกเธอและแม่ไปมีภรรยาใหม่มานานได้เสียชีวิตลงและพวกเธอต้องไปงานศพ ที่นั่นทั้งสามได้พบกับภรรยาคนปัจจุบันที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่ดูแลพ่อของพวกเธอในวาระสุดท้ายแต่เป็นเด็กอายุสิบห้าปีที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวต่างแม่ของพวกเธอต่างหากคือซึสึ (ซึสึ ฮิโรเสะ) และจะด้วยเหตุใดก็ตามหรืออาจเพราะสายใยบางอย่างซาจิจึงชวนซึสึที่เวลานี้ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในสถานที่ที่พ่อเคยอยู่เพราะเธอเป็นลูกติดพ่อมาอีกทีเมื่อพ่อมีภรรยาใหม่คนปัจจุบัน บ้านของสามสาวจึงได้ต้อนรับน้องสาวอีกคนมาเป็นน้องเล็กที่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อมากกว่าบางคนในสามคนนั้นแม้ว่าความทรงจำบางอย่างอาจเจ็บปวดกับคนบางคน แต่บางเรื่องเด็กก็ไม่ใช่คนผิดความรักจึงค่อยๆก่อเกิดผ่านสายใยความเป็นพี่น้องที่ไม่มีทางเป็นอื่นได้ผ่านการใช้ชีวิตร่วมกันความประทับใจแรกคือยังคงเล่าเรื่องบาดแผลของครอบครัวและชิ้นส่วนที่ขาดหายได้ลึกทั้งที่เรียบง่ายในแบบ "ฮิโรคาสึ โคเรเอดะ" สำหรับผู้เขียนแล้วแม้จะไม่ได้ดูหนังของฮิโรคาสึ โคเรเอดะทุกเรื่องแต่ก็ดูมาพอสมควรเริ่มจาก Nobody Knows (2004) แต่ถ้าจะมองข้ามไม่ได้อย่างจริงจังคงเป็นหลังจากที่ได้ดู Like Father, Like Son (2013) งานก่อนหน้าหนังเรื่องนี้ที่กลายเป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องหนึ่ง จนมาถึงเรื่องนี้หรืออาจรวมเรื่องต่อๆมาที่ได้ดูเช่น After the Storm (2016) หรือ Shoplifters (2018) เขายังคงเล่าเรื่องบาดแผลของครอบครัวญี่ปุ่นที่อาจทับซ้อนกับครับครัวทุกชนชาติชนชั้นได้อย่างลึกซึ้งเช่นเคย ความดีงามอีกอย่างของงานของเขาคือจะมีความเรียบง่ายและเห็นสภาพความเป็นจริงที่เมื่อได้ดูไม่ว่าเรื่องไหนก็ตามจะอดไม่ได้ที่จะคิดถึงบางช่วงเวลาหรือบางมิติที่อาจเคยได้ผ่านมาในชีวิต และในเรื่องนี้การเล่าเรื่องของพี่น้องที่อยู่ดีๆก็มีน้องอีกคนที่เป็นคนแปลกหน้าแต่ความสงสารหรืออะไรก็ตามที่ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้องดูแลกันไปก็ทำให้ได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน หนังยังเล่าได้ลึกซึ้งถึงใจจนแม้กระทั่งผู้เขียนเองที่เป็นลูกโทนยังรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งในครอบครัวนี้ที่จากสามใบเถามาเป็นสี่ดรุณีได้อย่างราบรื่นบนความไม่ราบรื่นของแต่ละคนเพราะทุกคนล้วนมีบาดแผลความประทับใจต่อมาคือการเก็บเกี่ยวทุกรายละเอียดกับบาดแผลของแต่ละคนได้ถึงใจแม้จะมีตัวละครให้เล่ามากก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะครอบครัวถูกก่อเกิดด้วยคนหลายคนบาดแผลของแต่ละคนจึงกลายเป็นบาดแผลของครอบครัว แน่นอนบาดแผลหลักของครอบครัวนี้อาจเป็นที่พ่อแม่แยกทางกันพ่อไปมีผู้หญิงใหม่แม่ทิ้งไปเหลือพี่ใหญ่ให้ดูแลน้องสาวอีกสองคน แล้วแต่ละคนก็มีอุปนิสัยต่างกันทำให้ชีวิตทุกคนล้วนมีริ้วรอยแต่ทุกอย่างยังไปได้ดีจนกระทั่งมีสิ่งมากระตุ้นนั่นคือเรื่องของพ่อที่เป็นชิ้นส่วนที่ขาดหายที่มาในรูปแบบของน้องสาวที่ไม่คิดว่าจะมี และตัวน้องสาวคนเล็กคนใหม่ก็มีบาดแผลในใจเช่นกันแต่การประคับประคองให้อยู่ด้วยกันคือความฉลาดที่เล่าเรื่องโดยไม่ฉายภาพแต่ให้จินตนาการว่าที่ผ่านมาแต่ละคนต้องเจออะไรมาบ้าง ที่เยี่ยมจริงๆคือด้วยเวลาเท่าที่มีกับตัวละครทั้งหลักทั้งคนรอบข้างต่างมีช่องว่างในหัวใจกันทุกคนซึ่งมันคือความจริงในชีวิตที่ทุกคนจะต้องมีริ้วรอยในหัวใจบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทุกเรื่องของทุกคนที่เล่ากลับออกมาสมูธและสมดุลอย่างที่สุดโดยที่สี่ตัวละครหลักยังคงเป็นแกนกลางในการดึงความสนใจจากคนดูได้อย่างดีเยี่ยมอีกความประทับใจคือช่องว่างในหัวใจที่เติมเต็มได้ด้วยความอบอุ่นที่มอบให้แม้อาจไม่ใช่ความผูกพันแต่มันคือสายใยที่ตัดไม่มีวันขาด สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากในเรื่องนี้คือมิติของการเติมเต็มด้วยความอบอุ่นไปเยียวยาความเหน็บหนาวซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนต่างมีช่องว่างในหัวใจซาจิ,โยชิโนะและจิกะต่างมีปมในใจเรื่องพ่อและมองว่าผู้หญิงที่แย่งพ่อไปเป็นคนไม่ดีแต่ซึสึกลับมีปมเรื่องแม่ที่จากไปก่อนเวลาอันควรทำให้ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันโดยสมบูรณ์ ในขณะที่ความทรงจำเรื่องของพ่อในส่วนพี่สาวสามคนต่างเว้าแหว่งต่างกันเพราะด้วยอายุที่ต่างกันทำให้ความทรงจำที่มีต่อพ่อต่างกัน แต่สำหรับซึสึอาจเป็นความทรงจำที่ดีเพียงผืนเดียวสำหรับเด็กอายุสิบห้าอย่างเธอที่ต้องดูแลพ่อจนวาระสุดท้าย อาจเพราะต่างฝ่ายหรือต่างคนต่างขาดทำให้การใช้ชีวิตมีความปรวนแปรต่างกันที่ในที่นี้คือการเลือกคบผู้ชายที่ต่างกันแต่ก็มีปัญหาเหมือนกันซึ่งมันคือภาพสะท้อนของพ่อกับแม่ ในขณะที่ตัวน้องเล็กเองสิ่งที่ไม่เคยได้รับก็ได้รับคือการดูแลอย่างดีโดยพี่สาวสามคนที่เป็นผู้หญิงที่ชดเชยความขาดจากเรื่องแม่มันจึงกลายเป็นความอบอุ่นที่มอบให้กันและกัน แน่นอนเมื่อไม่ได้คลานตามกันมาความผูกพันอาจไม่มีแต่สายใยความเป็นพี่น้องยังเหนียวแน่นจนไม่มีอะไรมาตัดขาดได้ความประทับใจสุดท้ายคือความยอดเยี่ยมในการกลายเป็นคนธรรมดาทั้งที่ปกติจะมีพลังดาราและเสน่ห์ล้นเหลือกันทุกคน การมัดรวมฮารุกะ อายาเสะ,มาซามิ นากาซาวะ,คาโฮและซึสึ ฮิโรเสะแค่สี่ชื่อนี้ก็การันตีเสน่ห์และพลังดาราที่ล้นเหลือแล้ว แน่นอนการแสดงที่เป็นธรรมชาติและเก็บงำพลังดาราให้กลายเป็นคนธรรมดานั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนสวยปานเทพธิดาอย่างฮารุกะ อายาเสะและความสวยมีเสน่ห์และความน่ารักที่ต่างกันไปของทั้งมาซามิ นากาซาวะ,คาโฮและซึสึ ฮิโรเสะที่ตอนนั้นอายุสิบเจ็ดก็เป็นสาวแล้ว แต่ทุกคนกลับเป็นคนธรรมดาได้อย่างน่าเชื่อถือจนน่าทึ่งไม่รวมถึงการเป็นพี่น้องกันชนิดที่ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆก็คงมีคนเชื่อ สิ่งนี้เองที่ทำให้หนังทรงพลังเพราะการเล่าเรื่องของพี่น้องที่จะค่อยๆพัฒนามิติเชิงความสัมพันธ์เติมเต็มให้กันและกันโดยที่ไม่มีใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตานั่นคือเป็นที่จดจำร่วมกันและมันคือการแสดงที่ยอดเยี่ยม หนังยังได้นักแสดงสมทบระดับเกรดเอทั้งลิลลี่ แฟรงกีที่เห็นก็จำหน้าได้หรือระดับพระเอกอย่างเรียวเฮ ซูซุกิและเคนทาโร่ ซาคาคุจิที่สองรายหลังอาจมีเวลาน้อยแต่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันนี่คือหนังที่อาจไม่เร่งเร้าอารมณ์แต่ความรู้สึกกินใจจะเกาะกุมเพื่อพาไปสู่ความอบอุ่นละมุนหัวใจจนกลายเป็นงานในความทรงจำ แม้จะผ่านเวลามาเกือบสิบปีแล้วแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหาของหนังยังร่วมสมัยหยิบมามองตัวเองและครอบครัวได้เสมอ เพราะหนังเล่าเรื่องพื้นฐานในชีวิตในครอบครัวจริงๆเห็นภาวะเป็นจริงแม้ว่าจะสร้างมาจากมังงะก็ตามที หนังอาจเรียบเรื่อยไม่เร่งเร้าเชิงอารมณ์ตามแบบหนังญี่ปุ่นแต่ความเรียบเรื่อยนั้นมีแรงดึงดูดด้วยความกินใจที่ถ้าจะคิดมากหรือแกะเอาความหมายก็แทบทุกฉากทุกซีนและทุกบทสนทนา และหนังญี่ปุ่นก็มักจะเป็นแบบนี้คือการเก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ละเมียดผ่านงานด้านภาพที่สวยงามอาจเพราะหนังญี่ปุ่นมักมองโลกในมุมงดงามและจะมีความงดงามในหนังเสมอโดยเฉพาะหนังแบบนี้ ทั้งยังมีเพลงประกอบที่จังหวะจะโคนถูกต้องบางครั้งพลิ้วแผ่วเบาบางครั้งก็เร้ากระตุ้นสายตาให้จับจ้องไปยังสิ่งที่หนังต้องการให้เห็น ทำให้เรื่องนี้ความรู้สึกกินใจจะเกาะกุมหัวใจคนดูไปจนถึงความอบอุ่นหัวใจและเห็นความงดงามของสายใยทางใจของพี่น้อง แม้ว่าจะไม่มีทางรู้ว่าหนังจะเดินหน้าไปถึงจุดไหนและมีบทสรุปอย่างไรทำให้หนังประทับอยู่ในใจและกลายเป็นอีกหนึ่งหนังในความทรงจำที่ดูซ้ำได้ไม่มีเบื่อดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก X 海街diaryภาพที่ 1 จาก Facebook 海街diary ถ้าคุณชอบ "ซึสึ ฮิโรเสะ" ไม่ควรพลาดเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/RglBe8XLW5q3 https://entertainment.trueid.net/detail/93Nj28ybqEa3เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !