เตรียมอาวุธให้ครบมือ แล้วไปพบกับความเดือดครั้งใหม่ในซีรีส์ My Name หนึ่งในออริจินอลคอนเทนต์เกาหลีส่งตรงจาก Netflix ที่ครั้งนี้จัดเต็มความบ้าระห่ำ จับเอานักแสดงสาวอย่าง ฮันโซฮี มาบู๊สะบั้นหั่นแหลกแจกเลือดตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้าย ที่สำคัญยังใจดีปล่อยมาให้ดู 8 ตอนรวดแบบไม่ต้องกลัวลงแดง มันส์จริงไม่มีแกง แต่จะสนุกสมการรอคอยขนาดไหน ไปชมความประทับใจพร้อมกันได้ในรีวิวฉบับนี้My Name ซีรีส์อาชญากรรม-แอ็กชั่นที่อัดแน่นไปด้วยความรุนแรงจนต้องจัดเรตผู้ชมไว้ที่ 18+ พูดถึงทีมหลังกล้องก็มีดีกรีไม่ธรรมดา เพราะได้ ผู้กำกับคิมจินมิน ที่เคยวาดลวดลายขายความดาร์กไว้ในผลงานซีรีส์วัยรุ่นอย่าง Extracurricular (2020) อีกทั้งยังเขียนบทโดย นักเขียนคิมบาดา ผลงานล่าสุดจากภาพยนตร์โรแมนติกกระตุกขวัญเรื่อง Life Risking Romance (2016) มือฉมังแห่งวงการมาจับมือกันขนาดนี้ แฟนซีรีส์แนวโหดเลือดสาดก็โล่งใจไปได้หนึ่งเปราะเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของ ยุนจีอู (รับบทโดย ฮันโซฮี) ที่ดูเหมือนจะเป็นวันโลกาวินาศเกินกว่าจะมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาเป่าเค้กเฉลิมฉลอง เพราะนอกจากจะเป็นวันที่เธอต้องลาออกจากโรงเรียนเพราะมีเหตุทะเลาะวิวาท เธอยังได้เห็นพ่อแท้ ๆ ของตัวเองถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา อีกทั้งตำรวจยังฝังกลบคดีเพราะขาดพยานและหลักฐานในที่เกิดเหตุ ยุนจีอูที่กำลังเคว้งคว้างไร้ซึ่งความหวังจะมีชีวิตอยู่ต่อจึงเริ่มหาหนทางล้างแค้นให้พ่อด้วยตัวเอง หลังได้พบกับ ชเวมูจิน (รับบทโดย พัคฮีซุน) ที่เบื้องหน้าเป็นเจ้าของโรงแรมและคาสิโน แต่เบื้องหลังยังเป็นหัวหน้าแก๊งทำค้ายาเสพติดที่เรียกกันว่า แก๊งดงชอนยุนจีอูได้รับเบาะแสสำคัญจากอาวุธที่ใช้สังหารพ่อของเธอว่าเป็นปืนที่จ่ายให้กับตำรวจ เธอใช้เวลาหลายปีในแก๊งดงชอนเพื่อฝึกฝนทักษะการต่อสู้และเรียนรู้วิธีใช้อาวุธทุกชนิด เมื่อร่างกายและจิตใจของเธอพร้อม ความแค้นที่สะสมมายาวนานสุกงอมเต็มที่ เธอจึงเริ่มวางแผนแก้แค้นโดยการสอบบรรจุเข้ารับราชการเป็นตำรวจในชื่อใหม่ว่า โอฮเยจิน และเข้าไปประจำในแผนกปราบปรามยาเสพติด และมีคู่หูเป็นตำรวจหนุ่มฝีมือดีอย่าง จอนพิลโด (รับบทโดย อันโบฮยอน)ดูเหมือนภารกิจชำระหนี้แค้นของจีอูจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะต้องเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลการไล่ล่าจับกุมแก๊งดงชอนให้กับชเวมูจินที่ชุบเลี้ยงเธอมาตั้งแต่สูญเสียพ่อแล้ว การได้รับรู้ความจริงที่ค่อย ๆ เปิดเผยระหว่างทางยิ่งทำให้เธอเริ่มลังเล เพราะยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายที่เธอต้องการกำจัดมากเท่าไร เธอกลับได้พบกับเบื้องลึกเบื้องหลังที่หักมุมเกินคาดเดาเรียนตามตรงว่าเป็นซีรีส์ที่รอคอยตั้งแต่ได้เห็นโปสเตอร์และทีเซอร์ เพราะชื่นชอบผลงานของผู้กำกับคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็แอบคิดว่าฮันโซฮีจะไหวไหมกับบทหนักขนาดนี้ ที่ผ่านมาเธอมักจะรับบทที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ เน้นปะทะอารมณ์ในงานซีรีส์แนวโรแมนติกมาตลอด แต่เรื่องนี้บอกเลยว่าเซอร์ไพรส์หนักมากกก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงร่างเล็กจะเล่นคิวบู๊ระยะประชิดได้โคตรเท่ไม่เก้ ๆ กัง ๆ จังหวะไหลลื่นไม่มีสะดุด ยิ่งได้เห็นข่าวว่าเธอปั้นหุ่นเพิ่มน้ำหนักเพื่อเรื่องนี้ แถมบรรดาฉากบู๊ที่เธอเล่นเองยังทำเอาซี่โครงเกือบหัก หมดสติต้องหามเข้าโรงพยาบาลระหว่างถ่ายทำ ยิ่งต้องยอมรับในความทุ่มเทของเธอจริง ๆที่ต้องชื่นชมอีกอย่างคืออารมณ์ที่ส่งมาถึงคนดู หลายฉากที่ต้องแสดงความรู้สึกทางสีหน้าและแววตาต้องเรียกว่าที่สุดแห่งพลังทางการแสดง อยากให้ทุกคนได้ดูฉากที่นางเอกรู้ความจริง ฮันโซฮีถ่ายทอดฉากนี้ได้น่าประทับใจ ความอึดอัดที่พูดออกมาไม่ได้จนต้องตีอกชกตัว อาเจียนไปร้องไห้ไป หรือฉากสู้กับตัวการใหญ่อีพีสุดท้ายที่ระเบิดอารมณ์แบบปล่อยสุด ส่วนใครคิดถึงเลิฟซีนแซ่บ ๆ แบบในซีรีส์ Nevertheless (2021) ป้ายยาก่อนเลยว่าเรื่องนี้แซ่บกว่าล้านเท่า ดังนั้นถ้าจะอวยว่านี่เป็นผลงานมาสเตอร์พีซของฮันโซฮีก็ไม่กระดากปาก เพราะทักษะการแสดงของเธอพัฒนาไปอีกขั้นและใช้ผลลัพธ์แห่งความตั้งใจลบคำสบประมาทได้อย่างแท้จริงอย่างที่บอกว่าซีรีส์จัดเรตผู้ชมไว้ที่ 18+ ดังนั้นใครที่ค่อนข้างขวัญอ่อนอาจจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนดู เพราะฉากต่อสู้เรื่องนี้เน้นอาวุธมีดเป็นหลัก แน่นอนว่าจะมีฉากปาดคอ แทงลูกตา เสียบแขนเสียบขาแทงเลือดสาดกระจายมาแบบถี่ ๆ ใส่มาไม่ยั้งจนเสียววาบทุกอีพีกันเลยทีเดียว ที่สำคัญคือการออกแบบคิวบู๊ให้นักแสดงนำไม่เก่งเกินไป มีจังหวะหมดแรงลุกมาสู้ต่อไม่ไหวจนคนดูต้องเอาใจช่วย มีเพลี่ยงพล้ำบ้างตามสไตล์ผู้หญิงที่แรงไม่สู้ผู้ชายถือว่าค่อนข้างสมจริง แต่ทั้งนี้ความเยอะของฉากแอ็กชั่นอาจจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดกับความไม่เนียนของเอฟเฟกต์เลือดที่กระจายไม่รู้ทิศรู้ทางอยู่บ้าง แต่หากโหยหาความรุนแรง ซาดิสม์แบบไม่มีกั๊กก็ต้องบอกว่าตอบโจทย์อย่างแน่นอนปัญหาของบทซีรีส์น่าจะเป็นจุดสังเกตใหญ่ของเรื่องนี้ ด้วยความที่พล็อตเรื่องแนวคนในครอบครัวตายแล้วคนที่รอดมาได้กลับไปแก้แค้นมันอาจจะดูซ้ำซากจำเจ ประกอบกับวิธีเล่าเรื่องประเภทที่ทำให้หลายคนคาดเดาได้ตั้งแต่ต้นเรื่องอาจจะทำให้หมดสนุกไปบ้าง แต่เลยช่วงต้นเรื่องไปก็ยังพลิกไปพลิกมาทำให้ลังเลพอให้ใช้สมองขบคิดกันพอสมควร ตรงนี้อาจจะพูดได้ว่าไม่แย่แต่ยังไม่ว้าวแต่ในความคาดเดาง่ายก็ยังมีข้อดี น่าจะเป็นซีรีส์เกาหลีไม่กี่เรื่องที่บาลานซ์ดราม่ากับสิ่งที่ต้องการขายเอาไว้ได้กลมกล่อมพอดี ไม่ลำไยเรียกน้ำตาจนหาวแล้วค่อยกลับมาตื่นเต้นใหม่ตอนถึงฉากบู๊ นำเสนอเรื่องแก๊งอันธพาลได้ค่อนข้างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการท้าทายอำนาจกฎหมาย ความไม่ลงรอยและการทรยศของคนในแก๊ง จัดเสิร์ฟมาให้ครบทุกรสชาติ อีกทั้งยังวางจำนวนตอนได้ลงตัวเป๊ะไม่อืดอาดยืดยาดจนเกินไป ข้อดีข้อเสียหักลบกลบหนี้กันแล้วถือเป็นซีรีส์อีกเรื่องที่หากพลาดไปคงเสียดายแย่https://youtu.be/-9LMeOoPibY(Youtube: Netflix Thailand) เชิญทุกคนไปสัมผัสกับความบ้าดีเดือดเดือดในซีรีส์ My Name ลงจอให้ได้ดูด้วยกันทั้งหมด 8 ตอน ตอนละประมาณ 50 นาที รับชมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ทั้งฉบับพากษ์ไทยและฉบับบรรยายไทยแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน เว็บไซต์ และกล่อง TrueID TV ได้ด้วยเช่นเดียวกันรูปภาพประกอบบทความจาก Official Twitter: Netflix Koreaภาพหน้าปก | ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 | ภาพประกอบที่ 5 | ภาพประกอบที่ 6 | ภาพประกอบที่ 7 | ภาพประกอบที่ 8 | ภาพประกอบที่ 9บทความแนะนำจากผู้เขียน- รีวิว The King's Affection: ราชันผู้งดงาม | ซีรีส์พีเรียดจาก Netflix เล่าเรื่องแฝดหญิงที่ถูกทอดทิ้ง แต่ต้องสวมบทคิงแทนแฝดชาย- รีวิวซีรีส์ Reflection of You (ดั่งภาพสะท้อน) หลอนประสาทจนนั่งไม่ติด โรคจิตตั้งแต่เริ่มเรื่อง- รีวิวซีรีส์ The Veil (2021) นัมกุงมิน กับภารกิจล้างแค้นแสนเดือด ตามล่าหนูทรยศในองค์กรระดับประเทศจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !