เครดิตภาพ Facebook Official ในการสำรวจดินแดงน้ำแข็งในแอนตาร์คติก แจ็ค ฮอลล์ (Dennis Quaid) พบว่ามีการแยกตัวของน้ำแข็งเป็นบริเวณที่ยาวและกว้างมาก เขาจึงรีบเสนอข้อมูลนี้ในที่ประชุม แต่รองประธานาธิบดีกลับไม่เชื่อ แต่ว่า ศจ. เทอร์รี แร็ปสัน (Ian Holm) คือคนเดียวที่เชื่อเขา เพราะว่าทุ่นที่วัดอุณหภูมิในทะเล วัดได้ค่าอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติมาก จึงสรุปความได้ว่า เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย มาปะปนกับน้ำทะเล ทำให้มีความผิดปกติ เมื่อมีความผิดปกติที่เริ่มเกิดขึ้นทั่วโลก นักบินอวกาศก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมว่า มีพายุหิมะกำลังก่อตัว ลูกใหญ่มหาศาลมาก และอุณหภูมิก็ติดลบลงถึง -101องศาในขณะเดียวกัน แซม ฮอลล์ (Jake Gyllenhaal) ลูกชายของแจ็ค กำลังเดินทางไปร่วมตอบคำถามวิชาการกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน ลอร่า แชปแมน (Emmy Rossum) และก็มีเหตุการณ์คลื่นลูกยักษ์ ซัดเข้าเมืองโดยไม่ทันตั้งตัว และขณะกำลังหนี ขาของลอร่าก็พาลไปขูดกับรถ ทำให้เกิดแผล และติดเชื้อในเวลาต่อมาเครดิตภาพ Facebook Officialแจ็คพยายามเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปช่วยลูกชาย โดยที่ต้องฝ่าพายุเข้าไปอย่างยากลำบาก ส่วนตัวแซมที่ต้องการออกมาหาอาหารและยาเพื่อใช้กับลอร่า ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถ้าออกมาข้างนอก จะแข็งตายทันทีเมื่อมาถึงปัจจุบัน คงมีใครหลายคนเริ่มตระหนักและกลัวเรื่องภาวะโลกร้อนกันมากขึ้น เมื่อรู้แล้วว่าภาวะโลกร้อนจะทำลายโลกของเราได้ คำถามต่อมา คือมันจะเป็นอย่างไรต่อไปตามสเต็ปในหนังก็เริ่มจากการที่น้ำแข็งแตกตัวเป็นแนวยาว ก็ล้วนเกิดจากการที่โลกร้อนขึ้น ทำให้ภาวะน้ำแข็งละลาย เริ่มต้นจากน้ำแข็งแตกตัวเป็นรอยแยกขนาดยาว เครดิตภาพ Facebook Officialความเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นตามที่หนังกำลังสื่อ คือเมื่อน้ำทะเลถูกปนเปื้อนด้วยน้ำจืดจนมากเกินไป ส่งผลให้น้ำทะเลเกิดความผันผวน ไม่คงที่ จากนั้นภูมิอากาศก็เริ่มจะแปรปรวน หิมะตกในที่ที่ไม่เคยตกอย่างกรุงนิวเดลี จากนั้นความเลวร้ายก็ก่อเกิดขึ้น เมื่อเกิดฝนตกบ้าระห่ำในกรุงนิวยอร์ค แล้วความผันผวนของทะเลก็เริ่มส่งผลทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่ง เกิดน้ำท่วมชั่วขณะ และอุณหภูมิก็ค่อย ๆ ลดลง จากเย็น หนาว จนสุดท้ายกลายเป็นเยือกแข็ง ชนิดที่ว่าถ้าแค่สัมผัสอากาศก็หนาวตายในทันทีหนังอาจจะสื่อมากเกินไป จนคนที่ดูอาจจะเริ่มตระหนกหรือตื่นกลัว ก็มีหลายคำถามตามมาว่า จะเกิดจริงไหม เกิดขนาดนี้เลยไหม และเมื่อไหร่ ในเรื่องการประเมินที่แม่นยำของแจ็ค บอกไว้ว่าอาจจะเกิดในร้อยปี หรือพันปี แต่เกิดแน่ ๆ แต่สุดท้าย ก็เกิดหลังจากการวิเคราะห์เพียงไม่กี่วัน คำตอบคือ ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะมีภาวะแบบนี้เกิดเมื่อใดเครดิตภาพ Facebook Officialคะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 เนื้อหามีความน่าสนใจ เชิงเป็นการเตือนในเรื่องของภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น จะช้าจะเร็ว ผู้สร้างก็อาจจะอยากเตือนให้ผู้คนตระหนัก และเลิกทำให้โลกร้อน ไม่งั้นเรื่องราวเหล่านี้อาจจะเกิดในยุคที่เรายังมีชีวิตอยู่ คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 ในด้านเอฟเฟคต์เรียกได้ว่าเอาใจผมไปเลยดีกว่า หนังไม่ได้เอาแต่ยันเอฟเฟคต์ที่น่ากลัวเพียงเท่านั้น แต่พยายามแทรกซึมเข้าไปถึงความกลัวในจิตใจของมนุษย์ด้วย เนื้อเรื่องทำได้ดี เอฟเฟคต์ก็ทำได้ยอดเยี่ยม ไม่ได้สักแต่มีภาวะบ้าบอหลายอย่าง แต่ก็แค่ฉาก ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันน่ากลัวแต่อย่างใดข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. มนุษย์ควรตื่นตัวเรื่องโลกร้อนได้แล้ว หลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว อีกหลายร้อยปีกว่าจะเกิด คงจะตายไปแล้ว แต่ลองคิดถึงรุ่นลูก รุ่นหลานดูสิครับ และในระหว่างที่จะถึงร้อยปีนั้น ก็เกิดภาวะความผิดปกติทางอากาศ สภาพแวดล้อมมากมายนับไม่ถ้วน2. ความรักของคนเป็นพ่อ แจ็คผู้เป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าลูกชายอยู่ที่นิวยอร์ค คนเป็นพ่อ ถึงกับยอมเดินเท้าขึ้นเหนือ เพื่อช่วยเหลือลูกชายที่กำลังได้รับความเดือดร้อน โดยไม่รู้ว่า ขึ้นไปแล้วลูกชายของตัวเองจะยังมีชีวิตรอดจากพายุอยู่ไหม3. รอดเพราะเชื่อฟังพ่อ แซมพยายามติดต่อพ่อก่อนที่พายุหิมะลูกใหญ่จะพัดผ่านมา ซึ่งแจ็คก็ได้ให้คำปรึกษาลูกชายในแง่ของการเอาตัวรอด ให้ทำตัวเองให้อุ่นเข้าไว้ เพราะอุณหภูมิกำลังจะลดลงอย่างรวดเร็ว หากออกมานอกอาคาร อาจจะตายได้ และแซมก็เชื่อฟังพ่อ พยายามห้ามคนอื่นไม่ให้ออกไป แต่ไม่มีใครฟัง สุดท้ายออกไปแข็งตายกันหมดหนังสำหรับคนที่ต้องการจะรู้ว่า ถ้าโลกแตกในยุคที่ฉันยังมีชีวิต มันจะเกิดอะไรบ้าง แนะนำเลยครับ ภาพ สวย การเล่าเรื่องดีไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าหนังจะหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีหนังใดที่ทำออกมาแล้วโอเคเท่านี้เลยเครดิตภาพปก Facebook Official