"มันคงมีสักหนึ่งจักรวาลที่ฉันและเธอได้อยู่เคียงคู่ไม่แยกจากกัน.." "จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า..."เชื่อว่าอาจมีบางครั้งในชีวิตของหลาย ๆ คน ที่เมื่อต้องพบเจอความผิดหวังจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ก็พาลโทษตัวเองว่าหากวันวานไม่เลือกตัดสินใจแบบนั้น หรือหากเลือกที่จะทำอีกแบบ ก็จะไม่ต้องเจอกับเรื่องราวแบบนี้ การย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีต จึงยังคงเป็นแนวของภาพยนต์และหนังสือที่ได้รับความสนใจเสมอ เพราะคนเรามักจะโหยหาสิ่งที่เป็นไปแทบจะไม่ได้มาเติมเต็มความต้องการลึก ๆ ในใจ"If I hadn't met you" ซีรีส์แนว Drama ผสมผสาน Sci-fi จาก Netflix ที่กระแสความนิยมน้อยมาก ๆ สวนทางกับคุณภาพของเรื่องที่เยี่ยมยอดมาก ๆ เรื่องหนึ่งทีเดียวค่ะ เชื่อว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป บทความนี้จึงภูมิใจนำเสนอซีรีส์เรื่องนี้ให้เพื่อน ๆ ไปทดลองชม โดยเฉพาะคอซีรี่ส์แนว Sci-fi ที่นอกจากจะได้เสพความละมุนไหวของเนื้อเรื่องแล้ว ยังได้อิ่มเอมกับความลึกลับน่าตื่นเต้นของทฤษฎี "จักรวาลคู่ขนาน" ที่เป็นตัวชูโรงของเรื่องอีกด้วยค่ะภาพประกอบจาก Netflix Official Trailer ขอเล่าเรื่องแบบเลี่ยงสปอยล์ให้น้อยที่สุด เพื่อที่เพื่อน ๆ จะได้สามารถไปชมกันได้อย่างเต็มอรรถรสกันนะคะIf I hadn't met you เป็นซีรี่ส์สัญชาติสเปนค่ะ เป็นเรื่องราวของ Eduard อ่านออกเสียงว่า "เอดูอาร์ด" คิดว่าน่าจะพ้องกับชื่อของคนอเมริกันว่า "เอ็ดวาร์ด" นั่นล่ะค่ะ ออกเสียงคล้ายกันเลย เอดูอาร์ด เป็นคุณพ่อลูกสอง ที่มีภรรยาที่สวยและเก่งระดับด็อกเตอร์ ครอบครัวที่ดูภายนอกสมบูรณ์แบบ แต่เพราะความสมบูรณ์แบบที่อาจทำให้ละเลยความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเอาความสนใจไปไว้ที่งานมากกว่า เรื่องราวเริ่มต้นที่วันหนึ่ง Elisa - "เอลิซ่า" ภรรยาของเขา ขอยืมรถเพื่อไปส่งลูก เพราะรถของตัวเองมีอาการแปลก ๆ แต่เอดูอาร์ดปฏิเสธไป เนื่องจากต้องใช้ไปทำงานสำคัญ ที่ต้องรักษาความสมบูรณ์แบบเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี เขาจึงยืนยันให้ภรรยาใช้รถคันเดิมไปก่อน แล้วค่อยไปซ่อมเมื่อมีเวลา และเหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเกิดขึ้น ในวันนั้น เอดูอาร์ดสูญเสียภรรยาและลูกทั้งสองคนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การสูญเสียครั้งใหญ่นี้ ทำให้เอดูอาร์ดเศร้าเสียใจเป้นอย่างมาก ก่นด่าพร่ำโทษตัวเองไม่หยุด ที่เป็นสาเหตุทำให้ครอบครัวต้องตาย เขาไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ ทางเดียวที่จะทำให้พ้นทุกข์ในความคิดของเขา คือการฆ่าตัวตายเท่านั้น! เอดูอาร์ดไปที่สะพานเพื่อเตรียมจะกระโดดลงไปที่ทางรถไฟ แต่แล้วก็มีหญิงชราคนหนึ่งมาหยุดเขาไว้ พร้อมบอกว่า.."ฉันต้องการคุณ.."ดร.เอเวอร์เรสต์ (Dr.Everest) หรือหญิงชราคนนั้นบอกเขาว่า กำลังวิจัยเรื่อง "จักรวาลคู่ขนาน" โดยสามารถประดิษฐ์เครื่องมือที่ทำให้สามารถเดินทางข้ามเวลาไปยังจักรวาลคู่ขนานได้ และอยากได้อาสาสมัครในการทดลอง เอดูอาร์ด แม้จะฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก แต่ชีวิตเขาตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวแล้ว ถึงโดนหลอกก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจเป็นอาสาสมัครในการเดินทางไปโลกคู่ขนาน และเรื่องราวของความรักข้ามจักรวาลก็ได้เริ่มต้นขึ้น..ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเนื้อเรื่องใน Episode 1 เท่านั้นค่ะ เพราะไม่อยากให้เสียอรรถรสเกินไปหากเปิดเผยเนื้อเรื่องมากไปกว่านี้ อยากเชื้อชวนให้เพื่อน ๆ ได้ลองชมด้วยตัวเองมากกว่าค่ะ ขอรับรองความประทับใจ 10/10 ไปเลย!ภาพประกอบจาก Netflix Official Trailer "จักรวาลคู่ขนาน" คืออะไร?จักรวาลคู่ขนาน เป็นส่วนหนึ่งในทฤษฎีสัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ ซึ่งปัจจุบันยังคงถูกนำมาศึกษาถึงความเป็นไปได้กันอย่างไม่หยุดหย่อน หลักการของมันก็คือ มิติเวลาที่เราอาศัยอยู่นี้ สามารถแตกแขนงออกไปเป็นล้าน ๆ จักรวาลนับไม่ถ้วน ตามการตัดสินใจที่เราได้เลือก หรือไม่ได้เลือก หากใครเคยชม Dr.Strange ก็น่าจะพอนึกภาพออกกันนะคะ ยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ เช่น ตัวเราในอดีตได้ตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทย์ เราก็ดำเนินชีวิตมาในแบบนี้ แต่ตามหลักการของทฤษฎีจักรวาลคู่ขนานแล้ว จะมีตัวตนของเราในอีกจักรวาล ที่เลือกเรียนสายศิลป์ และมีวิถีทางของชีวิตที่ต่างออกไปซีรี่ส์เรื่องนี้หยิบเอาทฤษฎีของจักรวาลคู่ขนานมาเล่น ซึ่งจะแตกต่างจากซีรี่ส์ย้อนเวลาทั่วไป เพราะไม่ใช่การกลับไปแก้ไขอดีต แต่เป็นการเดินทางข้ามจักรวาล เป็นการเคลื่อนย้ายตัวเราไปสู่อีกจักรวาลคู่ขนานหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรา "ไม่ได้เลือก" ในอดีต และเจ้าจักรวาลคู่ขนานนี่ก็มีตั้งมากมายซะด้วยสิ นั่นหมายความว่า มีตัวตนในรูปแบบต่าง ๆ อยู่มากมายนับไม่ถ้วน ตัวเราที่เป็นนักธุรกิจ ตัวเราที่เป็นศิลปิน ตัวเราที่แต่งงานกับอีกคน หรือตัวเราที่อาจจะจากไปก่อนวัยอันควร ความน่าตื่นเต้นของการเดินทางข้ามจักรวาล คือการได้ลุ้นว่า "ตัวฉันในอีกจักรวาล..จะเป็นยังไงนะ?""เอดูอาร์ด" ตัวเอกของเรื่อง ได้เดินทางข้ามไปยังจักรวาลคู่ขนานอื่น ๆ มากมาย เพียงเพื่อที่จะค้นพบ ว่าคงจะมีสักจักรวาลหนึ่ง ที่เขาและเอลิซ่า จะสามารถอยู่เคียงข้างกัน ไม่ถูกสิ่งใดมาพรากพวกเขาไปจากกัน เราจะได้เห็นตัวตนในรูปแบบต่าง ๆ ของตัวละครในแต่ละจักรวาล ที่แทบจะแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เฝ้าลุ้นไปกับตัวละคร พลางก็เกิดคำถามกับตัวเองว่า"ตัวเราจะเป็นยังไงนะ?ในเส้นทางที่ไม่ได้เลือกเดิน.."ภาพประกอบจาก Netflix Official Trailer สิ่งที่ประทับใจมาก ๆ อีกสิ่งหนึ่งของ If I hadn't met you ก็คือซาวด์แทร็คประกอบซีรี่ส์ ไพเราะจับใจมาก ๆ ค่ะ นักแสดงที่รับบท "เอลิซ่า" เป็นผู้ขับร้องด้วยตนเอง ในเรื่องเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีอยู่แล้ว แต่เธอเลือกที่จะเดินอีกสายหนึ่งตามกระแสสังคม (อ๊ะ! ไม่พูดต่อดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นการเปิดเผยเนื้อเรื่อง ฮ่า ๆ) เพลงประกอบเป็นเพลงแนวคันทรี (Country) ที่ฟังแล้วรู้สึกเย็นใจ แต่ก็ปะปนด้วยความรู้สึกเศร้าใจ แม้จะเป็นภาษาสเปน แต่ฟังแล้วรู้สึกอินตามไปด้วยทั้งที่ไม่รู้ความหมาย เป็นเพลงมีเสน่ห์มาก ๆ เลยค่ะ และนักแสดงก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก ๆ อยากชวนให้ฟังกันค่ะ คลิกที่ Link นี้ได้เลยหากเพื่อน ๆ สนใจเรื่องนี้ สามารถชมได้ที่ Netflix ได้เลยค่ะ อย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้าให้พร้อมด้วยนะ ฮ่า ๆดูจบก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ บางทีก็คิดถึงเส้นทางที่ไม่ได้เลือกเดินเหมือนกันเนอะ :) เรื่อง : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)ขอบคุณภาพประกอบปกจาก Netflix Official Trailer