รีเซต

รู้จัก "บิ๊ก ณภัทร" ผู้กำกับหนังไทยหนุ่มเลือดใหม่จาก M39 กับโปรไฟล์ระดับนานาชาติ

รู้จัก "บิ๊ก ณภัทร" ผู้กำกับหนังไทยหนุ่มเลือดใหม่จาก M39 กับโปรไฟล์ระดับนานาชาติ
Jeaneration
21 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:30 )
1.4K

ข่าวสารวงการหนัง

หากเอ่ยถึงชื่อ "บิ๊ก ณภัทร" อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นหูคุ้นชื่อกันสักเท่าไหร่ เพราะว่าเขาเป็นผู้กำกับสายเลือดใหม่ที่กำลังมีสร้างความโดดเด่นบนเวทีวงการภาพยนตร์ระดับนานาชาติ เขาคือผู้กำกับเจนใหม่ของค่ายหนัง M39 จากเด็กหนุ่มผู้ผลิตนังสั้นส่งประกวดมากว่า 70 เรื่อง ผ่านไอเดียแปลกใหม่และเผชิญหน้ากับความล้มเหลวนับไม่ถ้วน และในวันนี้เขาได้ประสบความสำเร็จอีกขั้น ด้วยการคว้ารางวัลชนะเลิศที่ยิ่งใหญ่จากเกาหลีใต้ และกำลังจะกลายมาเป็นคนทำหนังรุ่นใหม่สู่วงการหนังไทยต่อไป...

บิ๊ก ณภัทร คุณคือใคร?

สวัสดีครับ บิ๊ก-ณภัทร ตั้งสง่า ปัจจุบันเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ นักเขียนบท ผู้อำนวยการสร้าง ผมจบการศึกษา ปริญญาตรีนิเทศศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ภาควิชาภาพยนตร์ (ทุนBU Creative และ ทุน BU to NEW YORK) ปริญญาโท นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต สาขา Digital Marketing มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ทุนศิลปิน)

- เป็นตัวแทนไทยที่ได้รับรางวัลด้านภาพยนตร์ในระดับประเทศและระดับนานาชาติรวมแล้วกว่า30เวที และได้เป็นตัวแทนประเทศไทยประจำปี 2013 เข้าร่วมโครงการพัฒนาผู้นำเยาวชนด้านภาพยนตร์ระดับเอเชีย (Film Leaders Incubator) ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ และที่เกาะ  ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น

- เป็นตัวแทนประเทศไทยนำภาพยนตร์สั้นไปฉายในหมวดShortFilm Corner เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2015

- ได้รับทุน Fantastic Film School จากเทศกาลภาพยนตร์ Bucheon International Fantastic Film Festival (BIFAN) ในปี 2018

- เป็นตัวแทนประเทศไทยที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุน AFiS Busan Asian Film School โรงเรียนชั้นนำด้านภาพยนตร์ติดอันดับโลกของเกาหลี ในช่วงปี 2020-2021 และได้รับรางวัลชนะเลิศพิชชิ่งโปรเจคภาพยนตร์ขนาดยาวจากโรงเรียน และหน่วยงาน Busan Film Commission

- นอกจากนี้ก็เป็นเจ้าของผลงานหนังสือBest Sellerสองเล่ม “สร้างเงินล้านผ่านViral Clip” และ “Born 2 Succeed ฝันใหญ่ ใจต้องนิ่ง” เป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพในด้าน Digital Content และ International Media เคยได้รับเลือกให้เป็นเยาวชนดีเด่นแห่งชาติในสาขาสื่อมวลชนฯ และมีงานอดิเรกเป็นการทำคลิปรีวิวหนังใน TikTok และ Youtube

จากวัยเด็กถึงปัจจุบัน ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่บ้าง?

ผมเริ่มต้นทำหนังตั้งแต่อายุ 15 ได้รับรางวัลหนังสั้นครั้งแรกตอนอยู่ม.4 ตอนสอบตกแล้วทำหนังชีวิตตัวเองดันได้รางวัล เลยเหิมเกริมย้ายสายมาเลย เราก็ได้โฟกัสกับการทำหนังสั้นจนม.6 ผลงานหนังสั้นก็ได้มีโอกาสไปฉายที่ญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปร่วมเทศกาลหนังที่ต่างประเทศและเจอเพื่อนๆทำหนังต่างชาติมากมาย ผมเคยไปแกร่วอยู่ที่อเมริกามาเกือบปีช่วงจบ ม.6 ตอนนั้นอยากเข้าไปเรียนฟิล์มระดับโลก มีช่วงที่หันไปทำหนังสั้นล่ารางวัลจนได้ฉายา นักล่ารางวัลไปเลยช่วงนึง แต่ผมมีความสุขมากๆนะครับช่วงนั้น ตอนอยู่มหาลัย มีปีนึงทำหนังสั้นไปตั้ง 15 เรื่อง ท้ายที่สุดเราก็เจอกลุ่มที่เหมาะกับเรา จนบางส่วนก็ยังทำงานด้วยกันมากับเราจนถึงทุกวันนี้

เล่าช่วงเวลาที่เจอกับปัญหา ก่อนที่จะได้ทุนไปเรียนต่อและประกวดผลงานที่เกาหลีใต้ให้ฟังหน่อย?
หลายคนอาจเจอวิกฤติชีวิตในช่วงโควิด แต่ผมโดนรับน้องก่อนหน้านั้นปีนึงครับ ปีนั้นผมเจอหลายอย่างมาก เช่น งานโดนแคนเซิลเป็นสิบงาน โดนคนใกล้ตัวโกง เผลอล้างคอมจนไฟล์สำคัญในรอบปีครึ่งหายไปแล้วกู้ข้อมูลกลับมาไม่ได้ ลาออกจากโปรเจคทำมาร่วมปี แต่วิสัยทัศน์ไม่ตรงกับลูกค้า แต่ความพีคในปีนั้นอยู่ที่วันที่ 7 เดือน 7 ของปีนั้น ในวันฝนตกกระหน่ำ พูดตรงๆคือผม “เกือบตาย” คือประสบอุบัติเหตุลื่นล้มอย่างแรง ผลลัพธ์คือกระดูกสันหลังหักไปสองจุด ต้องนอนบนเตียงเฉยๆ อยู่สามเดือน จนลุกมาใส่ชุดพยุงหลังอีกเกือบปี หลังจากนั้นผมเลยนั่งทบทวนชีวิตทั้งหมด ไปจนถึงไล่ดูหนังหลายร้อยเรื่อง

ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า “ขอแค่ไม่พิการ และลุกออกไปเดินสองขาใช้ชีวิตแบบเดิมได้เราก็ดีใจแล้ว” พอเราลุกกลับมาได้ใหม่อีกครั้ง เลยสัญญาว่าจากนี้ แข่งกับตัวเองนะ  ซึ่งพอเราปล่อยวางแบบนั้น มันกลับมีความสุขกว่าเยอะเลย ในปีนั้นคุยกับเพื่อนๆจนรู้สึกว่าอยากทำโปรเจคหนังเรื่องนึงมากๆเมื่อ Project P. หรือต่อมาที่เรารู้จักกันในชื่อ The President เมื่อผมลุกออกไปไหนมาไหนได้อีกครั้ง เลยหาคอร์สเขียนบทเพื่อพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง จนได้ไปเรียนคอร์สนึงที่ชื่อว่า Writer Lab ของพี่ปุ๊ก พันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ คลาสนั้นเขาให้เอาโปรเจคหนังยาวมาพรีเซนหน้าห้องและพูดคุยกัน พอผมพูดจบ อยู่ดีๆก็มีพี่คนนึงที่เป็นนักเรียนร่วมคลาส ชวนผมมาพูดคุยทำความรู้จักด้วย เลยมารู้ทีหลังว่า พี่เขาไม่ใช่แค่นักเรียนในคลาส แต่เป็นผู้บริหารค่ายภาพยนตร์

ในช่วงนั้น บิ๊ก ได้รู้จักกับ พี่นก (ปัญชลีย์ นิธิจิระโรจน์ ผู้บริหารบริษัท เอ็มเทอร์ตี้ไนน์ (M39) จำกัด) พี่นกได้ให้คำแนะนำอะไรบ้าง?

หลังจากที่ได้รู้จักพี่นก ผมจำได้ตั้งแต่วันแรกเลยว่าพี่นกสนใจโปรเจคที่ผมกำลังพัฒนาอยู่ แต่ตอนนั้นผมก็สองจิตสองใจว่าจะลุยเอาจริงกับมันเลยดีไหมนะ เพราะตอนนั้นก็มีอีกโปรเจคนึงที่รักมากๆ และพัฒนามาหลายปี อยากทำด้วยเช่นกัน แต่สุดท้าย ผมก็เบนเข็มมาที่โปรเจคนี้ก่อน เพราะเห็นถึงความเป็นได้หลายอย่างที่น่าจะทำในช่วงเวลานี้มากกว่า ประจวบเหมาะกับช่วงที่เกิดเหตุการณ์โควิด พี่นกก็โทรมาถามความคืบหน้าว่า ไปถึงไหนแล้ว? ยังทำอยู่ไหม? ตอนนั้นพอพี่เขาเชียร์อัพว่าอยากให้เรื่องนี้ได้ทำเป็นหนังใหญ่ฉายโรง เราก็รู้ละว่าแบบนี้จะมาเล่นๆไม่ได้แล้ว เลยนัดประชุมออนไลน์กันผสมออฟไลน์หลายต่อหลายครั้ง จนเราคลอดบททรีตเมนต์ซีนาริโอออกมาก่อนที่บทร่างนี้ ทางเกาหลีสนใจและให้ทุนเราไปเรียนและพัฒนาโปรเจคต่อที่นั่น ซึ่งผมก็อัพเดทส่งข่าวความคืบหน้าให้พี่นกเสมอครับ ผ่านไปอีกที 2 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ค่อยๆสุกงอมมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมลุยแล้วครับ ขอบคุณพี่นกและทาง M39 ที่ผลักดันและให้โอกาสโปรเจคพวกเราครับ

ประสบการณ์การแข่งขันระดับโลกครั้งนี้ เป็นยังไงบ้างครับ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย?

เป็นความพยายามครั้งที่สามครับ ผมเชื่อในเรื่องโอกาสที่ 3 นะ เพราะหลายครั้งคนจำนวนไม่น้อยมักโฟกัสและคาดหวังว่าโอกาสแรกและโอกาสที่สองจะสำเร็จ แต่พอพ่ายแพ้ ก็ล้มเลิกกันไปก่อน ผมรอมาสามปี แพ้มาสองรอบ เพราะรอบนี้คือการสอบแข่งชิงทุนไปเรียนฟิล์มต่อที่เกาหลี ร่วมกับการพัฒนาโปรเจคภาพยนตร์ขนาดยาวที่นั่น และค่อยมาแข่งกันต่อว่าโปรเจคไหนที่จะได้รางวัลไปบ้างคือโรงเรียนที่ผมสมัครไปมีชื่อว่า AFiS Busan Asian Film School เป็นแหล่งรวมคอนเนคชั่นของคนทำหนังหน้าใหม่ของเอเชีย เป็นสถาบันที่ได้รับการจัดลำดับให้ติดท๊อปInternational Film School ของโลกเลยละครับ 

ด้วยโลกที่เจอสถานการณ์โควิด-19 พอดี เขายกเลิกปีที่ผมควรจะได้ไป เลื่อนไปอีกปี สรุปคือ ปี 2020 กับ 2021 เลยได้เรียนรวมกันเลย ตอนนั้นมีประมาณสามสิบกว่าคนจากหลายสิบประเทศ แต่เทอมแรกเขาสอนเป็นระบบออนไลน์ มางานเข้าตรงเทอมที่สอง ที่รู้อีกทีคือ เราต้องแข่งขันอีกรอบเพื่อที่จะได้ไปเรียนเทอมต่อไปที่เกาหลี สุดท้ายคนที่ได้ไปก็เหลือเพียงสิบคน ส่วนเราก็รอดไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ จากนั้นเขาจึงมีการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับการให้เมนทอร์จากฝั่งเกาหลี อยู่ที่นั่นสี่เดือน ซึ่งบางคนเป็นทีมงานผู้สร้างหนังรางวัลระดับโลก มาประกบเราและช่วยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรเจค จากนั้นเขาถึงให้มีการแข่งขันพิชโปรเจคกันอีกทีแต่ในส่วนตรงนี้ เขาเปิดให้คนที่ได้เรียนออนไลน์มาตั้งแต่เทอมแรกได้แข่งขันด้วย โปรเจคที่เข้าร่วมมันเลยมี 24 โปรเจ็กต์ จาก 17 ประเทศ

สุดท้าย THE PRESIDENT ได้รับรางวัลชนะเลิศพิชชิ่ง BFC Award หรือ Busan Film Commission Award โดยทางกรรมการได้มีการคัดเลือกโปรเจคที่มีความโดดเด่นด้านความคิดสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยได้รับรางวัลชนะเลิศ ร่วมกับผลงานอีกเรื่องจากประเทศคาซัคสถาน

คุณคือคนรุ่นใหม่ที่ไปชนะการประกวดในเวทีต่างๆ ในระดับนานาชาติ อะไรคือแรงบันดาลใจและแรงขับเคลื่อน?

ผมคิดว่ารางวัลคือผลพลอยได้ของแต่ละงานนะครับ เพราะมันเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ว่า งานแต่ละชิ้นจะพาตัวมันไปโลดแล่นในเวทีรางวัลได้ไกลแค่ไหน แต่ผมจะให้ความสำคัญกับการหาหัวใจในแต่ละการทำงานให้เจอ ว่าเราทำงานนี้เพื่อจุดประสงค์ใด หลักๆ เราก็คงอยากพัฒนาฝีมือของเรา อยากทำให้งานมันดีขึ้นเรื่อยๆ  ถ้ายิ่งงานไหนเราพบเจอความท้าทายที่มากยิ่งไปกว่านั้น เช่น มันต้องสร้าง Call to Action บางอย่างให้คนดู หรือสร้าง Social Impact หรือแม้แต่การได้รู้สึกว่างานที่กำลังทำ เป็นงานที่มีคุณค่าต่อจิตใจมากๆจนเรารู้สึกว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องเล่ามันออกมาให้ได้ มันจะยิ่งทำให้เราพยายามทำทุกทางเพื่อให้มันออกมาเป็นงานที่ดีเท่าที่เราจะทำได้ เพราะเรารักการทำหนัง เราอยากบันทึกเรื่องที่มีความหมายต่อใจไว้ในรูปแบบภาพยนตร์หรือหนังครับ แรงบันดาลใจสำคัญอีกเรื่องสำหรับผม ผมมักจะคิดถึงคนทำหนังระดับโลกแบบ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เสมอครับ

เป้าหมายที่สูงสุดในชีวิตของคุณคืออะไร? 

ถ้าตอบแบบทะเยอทะยานคงต้องตอบแบบใครหลายคนว่าเราทำหนัง ความฝันสูงสุดคือไปให้ถึงรางวัลที่สูงที่สุด แต่พอโตขึ้นมา เรายิ่งพบว่า เอาแค่ให้ได้ทำหนังดีๆแล้วฉายโรงให้ได้ก่อนก็พอ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ผมอยากทำหนังที่สร้างอิมแพค หรือ Call to Action บางอย่างน่ะฮะ อย่างที่เคยทำครั้งนึงคือ เราไม่เคยคิดว่าการทำหนังของเรา จะมีผลทำให้คนมาบริจาคเงินสร้างตึกให้โรงพยาบาลกว่าสามสิบล้านบาท ตอนนั้นเรารู้สึกว่า มันไปไกลกว่ารางวัลใดๆ ที่เราได้รับมาซะอีก

แต่ถามว่ารางวัลยังสำคัญสำหรับเราไหม ผมตอบเลยว่าแน่นอน เพราะอยู่วงการนี้ พูดตามตรงว่า งานที่เราทำมันยากในทุกๆ Process นะครับ กว่าจะได้แต่ละเรื่อง บางงานเป็นปี บางงานหลายปีมีเรื่องให้นอยด์หรือเฟลบ่อยครั้ง รางวัลมันเหมือนยาชูกำลังใจ เป็นเหมือนบัตรต่ออายุทางจิตวิญญาณตบไหล่แล้วบอกว่า สู้ต่อไปนะเอ็ง อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้แล้วไปทำอย่างอื่น

>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa