จุดประสงค์ของผมในการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เพรามอร์แกน ฟรีแมนล้วน ๆ เลยครับ ไม่ได้อ่านเรื่องย่อด้วยซ้ำคือเลื่อน ๆ หาหนังดูเรื่อยเปื่อยและค่อนข้างชอบแกตั้งแต่ Bruce Almighty ก็เลยลองเข้าไปชม สรุปหนังก็ดีใช้ได้เลย แม้ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตในแบบวัยกลางคนก็ตามหนังเล่าถึง คาร์เตอร์ (Morgan Freeman) และ เอ็ดเวิร์ด (Jack Nicholson) ชายชราสองคนที่มีอาชีพที่แตกต่างกัน คาร์เตอร์เป็นชายผิวดำที่มีอาชีพซ่อมรถ ส่วนเอ็ดเวิร์ดเป็นนักธุรกิจ และวันเวลาก็พาเขาทั้งสองให้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพราะโรคมะเร็ง นานวันเข้าทั้งสองเริ่มพูดคุยกันและ List รายการที่อยากทำก่อนตาย เขาทั้งคู่ตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาลและไปทำกิจกรรมที่ต้องการ เช่น ซิ่งรถ ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ เมื่อถึงวาระสุดท้ายเขาทั้งคู่ก็ได้ค้นพบว่า สิ่งที่ต้องการที่สุดคือการกลับไปหาครอบครัวพล็อตหนังก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ ผู้ชายสองคนนอนอยู่ในห้องที่โรงพยาบาลเดียวกัน โดยที่พวกเขาเป็นมะเร็งทั้งคู่และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานคำถามคือยังมีอะไรไหมที่ยังอยากทำก่อนจะตายแล้วยังไม่ได้ทำ แล้วสองคนนี้ก็นั่งลิสต์ว่าทำอะไรกันดี เป็นการพูดคุยแบบชายแก่สองคนดูแล้วก็น่ารักดีนะครับ แล้วก็พากันหนีออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปสานต่อความฝันให้เป็นจริง สำหรับวัยรุ่นอาจจะไม่อินอะไรกับภาพยนตร์แนวนี้ แต่สำหรับผมผมมองว่ามันคือชีวิตในช่วงบั้นปลายของหลาย ๆ คนที่จะต้องเผชิญ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณืที่จะรู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่หนังดำเนินเรื่องโดยมุมมองของชายป่วยสูงอายุสองคน หนังเผยให้เห็นมุมมองของคน ๆ หนึ่งที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายวันไหนและสิ่งที่ทำให้ไม่รู้สึกเดียวดาย นั่นคือก็มีคนที่ร่วมชะตาเดียวกัน เหมือนว่าสวรรค์ส่งลงมาให้เป็นคู่หูเลย มันจะบังเอิญไปหน่อยไหมเนี่ย (ผมคิดเงียบ ๆ ในใจ ) ที่เราเองก็มีเพื่อนที่เป็นโรคเดียวกันและมีความต้องการที่จะสานต่อชีวิตในช่วงบั้นปลายที่เหลือเหมือนกัน มันเป็นปกติเลยครับเมื่อคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายกว่า 99% ก็อาจจะหมดอาลัยตายอยาก อมทุกข์และรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของลูกหลานหรือคนอื่น แต่แนวคิดแบบนี้กลับใช้สองคนนี้ไม่ได้ เขาทั้งคู่ไม่มีความคิดนั้นในสมองเลย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือทำในสิ่งที่ใจปรารถนาและไม่เคยได้ทำมาก่อนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดายในวันที่ไม่มีลมหายใจแล้วคิดอยากจะทำว่ากันที่ฝีมือของนักแสดงทั้งสองคน ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่ และนึกถึงบั้นปลายในชีวิตที่อาจจะต้องเป็นเหมือนกับเขาสองคนก็ได้ และหลังจากชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้ผมยังเตือนตัวเองว่าหากอยากทำอะไรก็ทำซะ เพราะชีวิตคนเราอาจจะไม่ได้โชคดีที่จะได้รู้วันตายเหมือนกับเขาสองคน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรต่าง ๆ ที่เคยทำหรือยังอยากทำอีก หรือยังไม่เคยทำเพราะสุดท้ายแล้วในวินาทีสุดท้ายของชีวิตสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ อาจจะเป็นเพียงแค่การนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ กับครอบครัวที่อบอุ่นในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตก็เป็นได้คะแนนเนื้อเรื่อง 8/10 โดยปกติแล้วผมไม่ชอบดูหนังอะไรประเภทสอนชีวิตแบบนี้ แต่เมื่ออายุมากเข้าผมก็พยายามปรับเปลี่ยนมุมมองและหาภาพยนตร์ที่พยายามที่จะสอนแนวคิดใหม่ ๆ ให้ผม ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังครับ เพราะว่าคนเราไม่รู้ว่าจะตายวันไหนถ้าเลือกได้ก็ควรทำสิ่งที่ตัวเองต้องการไว้ตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส แต่ถ้าวันนึงผมต้องเผชิญชีวิตที่ป่วยแบบนั้นจริง ๆ ผมก็จะเลือกออกเดินตามความฝันมากกว่านั่งอมทุกข์และรอวันตายที่จะมาถึงข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. การรู้วันที่ตายไม่ใช่เรื่องผิด คนเราทุกคนต้องตายครับไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดหรือเมื่อไหร่ บางคนที่ตายด้วยอุบัติเหตุก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้หรือทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำหรือต้องการด้วยซ้ำ แต่กับบางคนที่รู้วันที่ตัวเองตายก็มีโอกาสที่จะทำ แต่ลับเพิกเฉย นั่งอมทุกข์หมดอาลัยตายอยากในชีวิต2. ทำในสิ่งที่อยากทำในตอนที่ยังมีโอกาส หลายคนเอาแต่ทำงานเก็บเงินรอว่าสักวันมีเงินมากพอก็จะไปเที่ยวในที่ที่ต้องการ แต่รู้บ้างไหมกว่าจะถึงวันนั้น เราจะยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นหรือเปล่า เพราะชีวิตคนเรามันสั้นมาก เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรหรือต้องการไปไหนก็ทำซะในวันที่ยังมีโอกาสแม้ว่าหนังจะดูเหมือนเป็นหนังชีวิตชีวิตดราม่าปกติ แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความใจสู้ของชาวสูงอายุสองคนที่รู้วันที่ตัวเองจะตาย ก็ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการก่อนที่จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดก่อนตายคือการที่ได้อยู่กับครอบครัวนั่นเองเครดิตภาพปก WarnerBrosเครดิตภาพที่1 WarnerBrosเครดิตภาพที่2 WarnerBrosเครดิตภาพที่3 WarnerBros