รีเซต

"เหว่ง เทพลีลา" โมโหลูกน้องถึงขนาดยกบริษัทให้ เผยความลับสนิทกับดาราทั้งวงการ!

"เหว่ง เทพลีลา" โมโหลูกน้องถึงขนาดยกบริษัทให้ เผยความลับสนิทกับดาราทั้งวงการ!
CreateHatari
30 มีนาคม 2567 ( 14:30 )
138

"เบิ้ล AM" สัปดาห์นี้เป็นการโคจรมาพบกันครั้งแรกของ “เหว่ง ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์” เจ้าของเพจ Little Monster และผู้ร่วมก่อตั้ง ช่องเทพลีลา คอนเทนต์สายฮาโดนใจวัยรุ่นเจนใหม่ยุคนี้ กับพิธีกรหนุ่มหัวใจลูกทุ่ง "เบิ้ล ปทุมราช" งานนี้เรียกว่าตบมุกโบ๊ะบ๊ะใส่กันฮาสนั่นรายการไปเลย พร้อมตอบประเด็นดราม่าเรื่องใช้ลูกหากิน และเรื่องโมโหลูกน้องถึงขนาดยกบริษัทให้ พร้อมเผยความลับทำไมสนิทกับดาราทั้งวงการ 

"เหว่ง เทพลีลา" โมโหลูกน้องถึงขนาดยกบริษัทให้ เผยความลับสนิทกับดาราทั้งวงการ!

 

อยากให้ พี่เหว่ง แชร์มุมมองที่เด็กหลายคนชอบพูดว่าบางทีการศึกษาไม่ได้สำคัญกับชีวิต ถ้าเราสามารถประสบความสำเร็จจากการทำสิ่งที่ชอบ แล้วเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่ใช่ ?

เหว่ง : คือการศึกษาสำคัญ โรงเรียนสำคัญ แต่ว่าคำว่าสำคัญขึ้นอยู่กับมุมมองของคนว่าสำคัญแค่ไหน การศึกษาถ้าเกี่ยวกับระบบโรงเรียนนะอย่างน้อยมันมีวินัย มีเรื่องระเบียบต่างๆ ที่เขาควรจะรู้ในกฎหมู่ของสังคม แต่ถ้าเกิดว่าเรียนเพื่อไปประกอบอาชีพเลย พี่ว่าหลายๆคน หรือว่าเด็กหลายๆคนเลยนะ ไม่รู้หรอกว่าโตขึ้นจะทำอาชีพอะไร พี่จะซัพพอร์ตเรื่องของแนวคิดที่ว่าทำอะไรที่ตัวเองแฮปปี้แล้วเลี้ยงตัวเองได้แบบมีความสุข

ตอนที่เป็นเด็กผมเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ในจุดนั้นผมก็ไม่รู้ว่าไม่ชอบเรียนเพราะอะไรซึ่งครอบครัวก็ไม่มีใครกดดัน ?

เหว่ง : ไม่แปลกนะ พี่ก็ไม่ชอบไปโรงเรียน พี่อยากไปเล่นกับเพื่อนแค่นั้น แต่ว่าประเด็นก็คือแน่นอนมันก็วิชาบางอย่างที่เราไม่อยากเรียน เป็นวิชาที่ต้องมีเกรด แล้วถ้าเราเรียนวันนี้ได้ไม่ดีไม่เข้าหัวเรา พอเราไม่อินกับมันอย่าง ถามว่าจำเป็นต่อชีวิตเราแค่ไหน

มีดราม่าเรื่องใช้ลูกหากิน ?

เหว่ง : มันก็ถูก คือทุกอย่างมันต้องใช้เงินหมด แล้วตอนที่เราทำคอนเทนส์ตั้งแต่แรกเลย ชีวิตเรามันแย่มากแล้วไม่มีจะกิน อีกนิดเดียวมีหนี้แล้ว ประเด็นก็คือว่าไม่ว่าจะอาชีพอะไรก็ตาม ถ้าเกิดพี่ทำ ไม่ต้องอยู่ตรงนี้ก็ได้หรือทำอะไรก็ตามให้ลูกช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคอนเทนส์ออนไลน์มันกลายเป็นอาชีพก็เท่านั้นเอง แล้ววันนี้ทำเพื่อลูก ครอบครัวและคนรอบตัว เงินในบัญชีลูกในวันนี้มีมากกว่าผมในอายุ 40 ตั้งเยอะ ซึ่งหลายคนมาเจอพี่ตอนนี้บอกว่าพี่มีลูกเมื่อพร้อม หรือว่าลูกเราอยู่ในครอบครัวที่พร้อม ไม่ตอนลูกพี่คนโตเกิดมาเราไม่ได้พร้อม ตอนเขา 4-5 ขวบไม่ได้พร้อมเพราะกำลังแย่แล้ว เขาแค่ไม่รู้ เราต้องย้ายจากในเมืองมาอยู่ชาญเมืองเพราะไม่มีเงิน ทุกอย่างเราแย่แล้ว ที่มายืนตรงนี้ได้มันผ่าน 7-8 ปีจากวันนั้น มันคือความพยายามนะแล้วก็พี่บอกลูกตลอดว่ามีวันนี้ก็จริง มีวันนี้เพราะเรนนี่ มีวันนี้เพราะพวกเราช่วยกัน วันนี้เราต้องสร้างกรอบป้องกันทางความรู้สึกให้กับลูกเรามากกว่า ปัญหาคือจะทำยังไงให้เด็กหรือสังคมเราเข้มแข็งทางจิตใจมากกว่า ที่จะสู้ข้างหน้าอีกเท่าไหร่ เชื่อไหมโลกอีก 20-30 ปีหนักกว่านี้อีก โลกออนไลน์มันขยายตัว จัดการจิตใจได้ไหม คนมันป่วยเยอะขึ้น  

พี่เหว่งเป็นคนเบื้องหลังแต่มาทำงานเบื้องหน้า ทำยังไงให้สนิทกับศิลปินดาราทั้งที่เจอครั้งแรก ?

เหว่ง : ก็มีคนไปช่องของพี่เยอะนะ พี่ก็เจอคนเยอะขึ้นใน 2 ปีนี้ ถ้าพูดตรงๆก็คือเราไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมายหรอก เราก็แค่คุยกับทุกคนที่เราเจอไม่ว่าจะเป็นทีมงาน เป็นน้อง ก็จะคุยเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเกิดคุยกับคนที่อยู่หน้ากล้องเราต้องรู้จักเขา เพราะเราต้องถ่ายกับเขา เราก็คุย กินอะไรมาหรือยัง เป็นคนยังไง ทำอะไรบ้าง ก็คุยแบบที่ต้องคุยจริงๆ เพราะเราเป็นเจ้าบ้านส่วนใหญ่พี่ไม่ค่อยออกไปไหน แล้วเราก็มองทุกคนเท่ากัน เลเวลเหมือนกัน จะเป็นทีมงานเป็นอะไรก็ตาม มันคือความปกติของมนุษย์ทั่วไป

ทราบมาว่าพี่เป็นคนที่สปอร์ตมากจนครั้งหนึ่ง จะยกบริษัทให้ลูกน้อง ?

เหว่ง : เรื่องจริง แล้วตอนนั้นคือไม่ได้สปอร์ตนะ โมโห! ก็คือตอนนั้นยังวัยรุ่นอยู่ ประมาณช่วงอายุ 30 ตอนนั้นทำบริษัทอนิเมชั่น มีน้องๆมาทำงานประมาณ 8-9 คน รู้สึกว่าเราเข้มข้นมาก แล้วมีอยู่จุดหนึ่งที่เงินทุนมันกำลังจะหมด ทำงานยาก มันเหนื่อย เครียด แล้วน้องบางคนก็เล่นเน็ตบ้าง อะไรบ้าง รู้สึกว่าน้องไม่ตั้งใจกับสิ่งที่เราต้องทำภารกิจนี้ ยาวนานมากเราเครียด เราก็เรียกเลี้ยงเบียร์ทุกคน เขาก็คิดว่าเราจะเลี้ยงเบียร์จริงๆ แต่ไม่ใช่เรียกมาเพื่อประชุมตอนกลางคืน ว่าแต่ละคนมีข้อดีอะไรบ้างเล่าให้ฟังสิ เขาตอบไม่ได้ ก็เลยบอกข้อเสียของแต่ละคนฟัง แล้วก็บอกว่าพี่จะไม่มาทำงานอาทิตย์หน้าทั้งอาทิตย์เลย ถ้าพวกมึงคิดว่าเจ๋งเอาให้รอดแล้วกัน แล้วจบโปรเจกต์นี้เอาไปเลยบริษัทนี้กูยกให้มึง อันนี้ตั้งใจยกให้จริงๆนะ รู้สึกว่าถ้าน้องๆยังเป็นแบบนี้พี่เองก็ไม่ได้เป็นนักบริหารที่เก่งไง พร้อมยกให้ไปเลย เพราะพี่ไม่ไหวแล้วกับคนที่ไม่ตั้งใจในขณะนั้นนะ แต่ปัญหาก็คือทุกคนไม่ได้ไม่ตั้งใจ มีบางคนที่เด็กๆ แล้วอาจจะหลุดไปบ้าง ปัญหาคือเราด้วยที่อารมณ์ร้อนเกินไป เชื่อไหมว่าน้องๆ กลุ่มนั้นคิดว่าตอนนี้ได้ดิบได้ดีเป็นเฮดกันไปแล้ว บริษัทนี้ตอนนี้เติบโตใหญ่มากและพี่ก็ไม่ได้เป็นหุ้นแล้ว แล้วก็มีบริษัทนั้นก็มีบริษัทย่อยอีก แล้วพวกนี้แหล่ะก็เป็นเจ้าของบริษัทด้วย