นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เครือโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กล่าวว่า หนังไทยกำลังมีบทบาทสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในช่วง 10 ปีก่อนการเกิดโรคระบาด หนังไทยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20-35% แต่ในปี 2023 ตัวเลขดังกล่าวกลับพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 60%

และในระหว่างเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 69% โดยการเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นจากความสำเร็จของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และแม้ว่าภาพรวมของหนังไทยในปัจจุบันจะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด แต่ก็นับว่ายังอยู่ในแนวโน้มที่ดี โดย Major Cineplex มีแผนที่จะเปิดโรงภาพยนตร์สาขาใหม่ให้ครบ 15 แห่งภายในสิ้นปีหน้า

ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีทองของหนังไทย ด้วยการเปิดตัวหนังสยองขวัญจักรวาลไทบ้าน ‘สัปเหร่อ’ (2566) (The Undertaker) และหนังสยองขวัญลี้ลับ ‘ธี่หยด’ (2566) (Death Whisperer) ที่สามารถทำรายได้ถล่มทลาย

รศ.ดร. อุณาโลมกล่าวว่า การที่รัฐบาลให้การสนับสนุนผู้สร้างภาพยนตร์มากขึ้นเพื่อรักษาความสำเร็จดังกล่าว รวมทั้งการสนับสนุนให้สามารถเข้าชิงรางวัลในระดับนานาชาติ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มเติม

ในขณะที่วริศรากล่าวเพิ่มเติมว่า โดยส่วนตัวเธอเชื่อว่าคนไทยโดยส่วนใหญ่ มีความต้องการที่จะดูหนังในโรงภาพยนตร์ เนื่องจากมันเป็นประสบการณ์ร่วมอีกแบบหนึ่งที่ต่างจากการรับชมผ่านช่องทางอื่น ๆ การได้ชมหนังสยองขวัญที่มีฉากสะดุ้งตกใจ หรือชมฉากแอ็กชันบนจอใหญ่ที่มีเอฟเฟกต์เสียง ทำให้ผู้ชมสามารถกรี๊ดไปด้วยกัน หรือในกรณีของหลานม่า ผู้ชมก็สามารถร่วมร้องไห้ไปด้วยกันได้