วันก่อนเปิด Netflix เจอหนังเรื่อง The Irishman(2019) แวบแรกคือเอ้า นี่ Robert De Niro กลับมาเล่นคู่กับ Joe Pesci อีกแล้วหลังจากที่เคยเล่นด้วยกันในเรื่อง Casino(1995) ซึ่งนั่นมันก็เมื่อ 24 ปีที่แล้วแน่ะ เพราะฉะนั้นอย่างแรกเลย ใครที่เคยดู Casino มาก่อนก็มีโอกาสสูงที่จะชอบ The Irishman ตามไปด้วย เพราะเดอนีโรกับเปสกี้ได้กลับมาเล่นคู่กันอีกครั้ง แต่คราวนี้สลับบทบาทกัน กล่าวคือใน Casino เดอนีโรรับบทมาเฟียใช้สมอง เปสกี้ใช้กำลัง แต่ใน The Irishman เปสกี้กลับกลายเป็นคนใช้สมอง เดอนีโรกลายเป็นมือปืนที่ออกไปยิงคนทิ้งตามคำสั่ง ที่ทำให้ทึ่งมากๆคือการแสดงของเปสกี้ เพราะในเรื่อง Casino นั้น เปสกี้รับบทอันธพาลเลือดร้อน เอะอะก็ใช้แต่กำลัง(และมีจุดจบที่น่าอนาถมาก อยากให้ทุกคนไปดูจัง) แต่พอมารับบทมาเฟียใช้สมองใน The Irishman แล้ว...จะบอกว่าสีหน้า ท่าทาง แววตา และแม้แต่ออร่าก็เปลี่ยนไปหมดเลย! ดูราวกับเป็นคนละคน ถือเป็นนักแสดงที่สวมบทบาทเข้าไปลึกถึงจิตวิญญาณเลยจริงๆ The Irishman เป็นเรื่องเกี่ยวกับแก๊งมาเฟียที่คุมการเมืองอยู่เบื้องหลัง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของ Jimmy Hoffa ดังนั้นการจะดูเรื่องนี้ให้สนุก คุณต้องรู้ก่อนว่าจิมมี่ ฮอฟฟา นี่คือใคร จิมมี่ ฮอฟฟา เป็นหนึ่งในบุคคลสูญหายที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกัน เขาเป็นประธานสหภาพแรงงาน และสหภาพฯที่ว่านี่ก็คือแหล่งเก็บเงินสะสมของสมาชิก รวมแล้วก็หลายพันล้าน เงินทุกเหรียญทุกเซนต์ในนั้น จิมมี่ ฮอฟฟา เป็นคนควบคุมทั้งหมด เป็นคนกำหนดว่าจะเอาไปลงทุนอะไร จะปล่อยกู้ให้ใคร สรุปง่ายๆ เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น ด้วยความที่มีอิทธิพลเยอะ ฮอฟฟาก็เลยมีศัตรูเยอะไปด้วย มาวันหนึ่งอยู่ดีๆก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ทุกคนสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ไม่เคยมีใครพบศพ ใครชอบฟังเพลงอาจจะเคยได้ยินชื่อจิมมี่ ฮอฟฟา ผ่านหูมาบ้าง เพราะพวกแรปเปอร์ชอบเอาไปเขียนถึงในเพลง แทรกนิด บุคคลสูญหายในประวัติศาสตร์ที่ดังๆคนอื่นก็อย่างเช่น: - Amelia Earhart นักบินหญิงอเมริกันที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นคนแรก อยู่มาวันหนึ่งขับเครื่องบินแล้วหายไปทั้งคนทั้งเครื่อง ไม่มีใครหาพบจนถึงทุกวันนี้...มีคนเอาชื่อไปพูดถึงในเพลงเหมือนกัน อย่างเช่นเพลง Someday we'll Know ของ New Radicals - D. B. Cooper อันนี้เป็นจอมโจรที่ลึกลับเป็นอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์อเมริกัน ดี. บี. คูเปอร์ ปล้นเครื่องบินด้วยการถือกระดาษไปหาแอร์โฮสเตสอย่างเงียบๆ ในกระดาษเขียนประมาณว่านี่คือการปล้น อย่ากระโตกกระตาก ไม่งั้นผมจะระเบิดเครื่องทิ้ง(พยานในเหตุการณ์ทุกคนพูดตรงกันว่าพ่อจอมโจรคนนี้ช่างมีกิริยามารยาทงดงามและมีความเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก) พอรวบรวมเงินใส่ถุงได้หมดแล้ว คูเปอร์ก็โดดร่มหนีหายไป ไม่มีใครตามหาพบทั้งคนและเงิน ไม่รู้ด้วยว่าที่โดดร่มลงไปนั่นรอดรึเปล่า แต่ก็ไม่มีใครพบศพ...คนนี้ชอบถูกพาดพิงในหนังและซีรีส์หลายเรื่อง ที่อุกอาจที่สุดคือเรื่อง Prison Break ซึ่งมีการเขียนเนื้อเรื่องให้นักโทษคนหนึ่งแท้จริงแล้วคือดี. บี. คูเปอร์ จอมโจรเวหาในตำนาน กลับมาที่จิมมี่ ฮอฟฟา หลังจากที่ฮอฟฟาหายสาบสูญแบบไม่มีใครพบศพไปหลายทศวรรษ มาวันหนึ่งก็มีนักเขียนคนหนึ่งไปสัมภาษณ์สมาชิกแก๊งที่มีความใกล้ชิดกับฮอฟฟา และนักเขียนคงได้สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นคำตอบของปริศนานี้ เลยนำมาเขียนเป็นหนังสือ สุดท้ายก็กลายมาเป็นหนังเรื่องนี้ The Irishman ทำมาจากหนังสือเรื่อง I Heard you Paint Houses เขียนโดย Charles Brandt ชื่อหนังสือนี่อ่านแวบแรกจะงงๆว่าเกี่ยวกับอะไร แต่พอรู้ที่มาแล้วจะร้องโอ้โห คือไอ้ช่างทาสีบ้านน่ะ จริงๆแล้วเป็นเหมือนโค้ดเนมของมือปืน และเหตุที่เรียกมือปืนว่าช่างทาสีบ้านเป็นเพราะมือปืนพวกนี้เวลาเข้าไปยิงเหยื่อ เลือดของเหยื่อจะสาดกระจายเลอะไปทั่วผนังบ้าน ก่อนจะนั่งดูผมช็อกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหนังเรื่องนี้ยาว 3 ชม.ครึ่ง!! โอ้...ในยุค Netflix ที่คนแทบจะไม่ดูอะไรยาวๆกันแล้ว(ซีรีส์เริ่มเปลี่ยนมาทำ episode ละสั้นๆประมาณ 20-25 นาทีเพราะมีแนวโน้มว่าจะทำให้คนยอมดูได้มากกว่า) การทำหนังเรื่องเดียวยาวต่อเนื่องไป 3 ชม.ครึ่งนี่ถ้าไม่เก๋าระดับ Martin Scorsese(ผู้กำกับ)คงทำไม่ได้จริงๆ มาร์ติน สกอร์เซซี เองก็กำกับ Casino ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นนี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการยกโปรดักชั่นเดิมมาหมดเลย แต่เพิ่มนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Al Pacino กับนักแสดงมาแรงอย่าง Bobby Cannavale เข้ามาด้วย(บ๊อบบี้ดังมาจากซีรีส์เรื่อง Boardwalk Empire) แต่ 3 ชั่วโมงครึ่งนี่คือดูไม่เบื่อเลย สกอร์เซซีเป็นผู้กำกับชื่อดังมาหลายทศวรรษแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นนักประวัติศาสตร์วัฒนธรรมแก๊งในอเมริกาตัวยง ดูหนังสกอร์เซซีแล้วจะอินกับพวกมาเฟียมาก โดยเฉพาะมาเฟียอิตาลีและไอริช และสิ่งที่ผูกติดมากับวัฒนธรรมมาเฟียอิตาลีมักเป็นเรื่องราวของการทรยศหักหลัง การขายวิญญาณให้ปีศาจ และการพยายามไถ่ถอนบาปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ซิกเนเจอร์อย่างหนึ่งในหนังสกอร์เซซีคือเรื่องการใช้ปืน คือในขณะที่ผู้กำกับหนังแอ็กชั่นอย่าง John Woo เลือกที่จะใส่จิตวิญญาณให้ปืนเสมือนหนึ่งเป็นกระบี่ คือตัวละครมักใช้ปืนสองมือ ยิงต่อเนื่อง มีกระบวนท่า แต่สกอร์เซซีมักจะถ่ายช็อตเต็มตัว ใช้มุมกล้องเดียว ไม่รู้จะเน้นเรียลไปถึงไหน ทำเหมือนคนดูเป็นคนเดินถนนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ยังไงยังงั้น เสียงกระสุนปืนในหนังสกอร์เซซีมักมีจังหวะและตัวโน้ตที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญคือชอบยิงหน้ายิงหัว เหยื่อมักถูกพบในสภาพมีรูกระสุนที่โหนกแก้ม บางทียังพะงาบๆอยู่(เห็นบ่อยเลยใน Boardwalk Empire) วัฒนธรรมแก๊งอย่างหนึ่งที่สกอร์เซซีชอบถ่ายทอดคือ พวกมาเฟียฝรั่ง(โดยเฉพาะอิตาลี)เนี่ย เวลาจะเก็บใครมักชอบทำให้เหยื่อตายใจสุดๆ คือแบบทำเหมือนนัดมากินข้าว เจอกันเดินเข้าไปกอดทักทาย พูดคุยสนุกสนานเฮฮา ทำตัวราวกับรักเพื่อนคนนี้มากที่สุดในสามโลก แล้วจู่ๆก็โอบไหล่พาเดินเข้าตรอกหรือบ้านแล้วชักปืนออกมายิงหัวโป้งๆๆอย่างงั้น เหยื่อมักตายโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...คนที่โดนเก็บคงมีความรู้สึกคล้ายๆนกกระจอกเทศที่ถูกหลอกให้ผ่อนคลายก่อนโดนเชือด แค่เพื่อไม่ให้มันเครียดและเนื้อจะได้ไม่เสียรสชาติ ใครมีโอกาสอยากให้ลองดูทั้งเรื่อง Casino(1995) กับ The Irishman(2019) เลย หนังสกอร์เซซีเป็นศิลปะที่ดูแล้วให้ความเพลิดเพลินแบบหนักอึ้งและชวนให้รู้สึกหวาดระแวงกำลังดี นอกจากนั้นยังจะได้เจอ Anna Paquin ด้วยนะ ต่อให้จะปรากฏตัวแค่ช่วงหลังและแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยก็ตาม(ผมชอบน้องเค้าตั้งแต่ Fly Away Home ที่น้องเค้าต้องขี่เครื่องบินพาฝูงห่านอพยพลงใต้...แต่หลายคนคงจำแอนนาได้จาก X-Men มากกว่า ก็โร้กไง น้องผมขาวที่สามารถดูดพลังคนอื่นได้น่ะ) ดาราสมทบอีกคนที่อยากพูดถึงคือ Ray Romano คนนี้เป็นดาวตลกมาก่อน เป็นคนเขียนบทและแสดงนำในซิต-คอมยุค 90 เรื่อง Everybody Loves Raymond....ในเรื่องนี้โรมาโน่มารับบทที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายให้มาเฟียตระกูล Bufalino และก็แอบนำความฮาเข้ามาในหนังมาเฟียเรื่องนี้ด้วยสีหน้าท่าทางได้อย่างแนบเนียน อ้อ ที่สำคัญที่สุดคือหนังเรื่อง The Irishman เนี่ยมันทำให้รู้สึกชอบเพลง In the Still of the Night ของ The Five Satins สุดๆไปเลยอะ นี่หนังจบแต่ยังคงฟังเพลงนี้ต่อเนื่องมาสามวันแล้ว ...ดูสิ ชอบเอาเพลงที่หวานขนาดนี้ โรแมนติกขนาดนี้ มาประกอบหนังแก๊งมาเฟียที่ตัวละครเชือดกันหน้านิ่งๆ ไม่ใช่มาร์ติน สกอร์เซซี นี่ทำไม่ได้จริงๆ .