รีเซต

[รีวิวซีรีส์] "Black Knight" จับฉ่ายไซไฟดิสโทเปีย

[รีวิวซีรีส์] "Black Knight" จับฉ่ายไซไฟดิสโทเปีย
แบไต๋
14 พฤษภาคม 2566 ( 09:00 )
306

ยังคงแรงต่อเนื่องสำหรับซีรีส์เกาหลีโดยเฉพาะซีรีส์ที่สตรีมทาง Netflix ต่างพากันติดอันดับทุกครั้งที่มีเรื่องใหม่ออกฉาย และสำหรับ ‘Black Knight’ ซีรีส์ไซไฟดิสโทเปียเรื่องใหม่ที่ขนนักแสดงแถวหน้าของเกาหลีมาคับจอทั้งคิมอูบิน พระเอกสุดหล่อจากซีรีส์ ‘Our Blue] อีซม นางเอกหน้าสวยเก๋ที่เพิ่งเล่นบทร้ายแต่แอบเซ็กซี่จาก ‘Kill Boksoon’ มาปะทะตัวร้ายที่รับบทโดย ซงซึงฮอน พระเอกซีรีส์เกาหลียุค Y2K จาก ‘Autumn in my Heart’ หรือ ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’

เนื้อเรื่องของซีรีส์จะมีฉากหลังเป็นโลกล่มสลายหลังเกิดมลพิษทางอากาศจนเกิดวิกฤติฝุ่นฟุ้งกระจายทำให้โลกขาดอากาศหายใจ ทำให้บริษัทชอนมยองกรุ๊ปกลายเป็นเอกชนแห่งเดียวที่ผูกขาดธุรกิจอ็อกซิเจนและบริการขนส่งสินค้าโดยมี ห้าแปด (รับบทโดย คิมอูบิน) ผู้อพยพที่เป็นตำนานของคนส่งของที่สามารถฝ่าฟันพวกฮันเตอร์ที่คอยดักปล้นอ็อกซิเจนกลางทางได้ทุกครั้งและคอยแบ่งปันอากาศให้ผู้อพยพราวกับฮีโร่ โดยเขามีแผนจะโค่นล้มชอนมยองกรุ๊ปที่เคยสังหารโหดพี่น้องของเขา

เรื่องราวของห้าแปดเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ซาวอล (รับบทโดย คังยูซอก) หนุ่มอพยพที่มาแอบอาศัยบ้านเดียวกับ ซอลอา (รับบทโดย อีซม) ผู้พันแห่งหน่วยข่าวกรองพร้อมน้องสาวของเธอ แต่หลังจากเกิดกลุ่มชายลึกลับบุกสังหารที่บ้านของซอลอาจนน้องสาวของเธอถูกฆ่าตาย ทำให้ชาวอลออกตามหาห้าแปดเพื่อให้เขาฝึกฝนเพื่อจะได้เป็นเข้าแข่งขันเพื่อค้นหาหนึ่งเดียวที่จะได้เป็นคนส่งของชอนมยองกรุ๊ป

ในขณะเดียวกันการจัดแข่งขันดังกล่าวของ รยูซอก (รับบทโดย ซงซึงฮอน) รองประธานของชอนมยองกรุ๊ปก็เพื่อบังหน้าแผนร้ายในการกำจัดผู้อพยพและดำเนินกิจการผูกขาดขายอ๊อกซิเจนและพื้นที่อาศัยเพียงรายเดียว ในขณะเดียวกันการสืบสวนการตายของน้องสาวก็ทำให้ซอลอา ค้นพบเบื้องหลังไม่ชอบมาพากลระหว่างชอนมยองกรุ๊ปกับการลักพาตัวเด็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่อีกด้วย

‘Black Knight’ เป็นผลงานกำกับของโจอึยซอก ที่เคยมีผลงานเขียนบท ‘Golden Slumber’ หนังแอ็กชันทริลเลอร์มาก่อน มาคราวนี้เขาหยิบเว็บตูนต้นฉบับมาดัดแปลงเองกลายเป็นซีรีส์ 6 ตอนที่เรียกได้ว่าเป็นงานขายโปรดักชันสุดอลังการที่ทำได้ไม่ขี้เหร่เลย ดีในระดับที่อาจจะดีกว่าหนังฮอลลีวูดบางเรื่องด้วยซ้ำ โดยงานภาพของซีรีส์ก็ทำให้นึกถึงหนังดิสโทเปียอย่าง ‘Mad Max’ โดยเฉพาะภาพการต่อสู้ของยานพาหนะบนทะเลทรายที่สลัดภาพหนังต้นฉบับได้ยากเหลือเกิน

นอกจากนี้มันยังมีหลายจุดที่ทำให้นึกถึงหนังและซีรีส์หลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะการแข่งขันเพื่อหาคนส่งของที่ได้บรรยากาศของหนังแนวเซอร์ไววัลอย่าง ‘The Hunger Game’ หรือกระทั่งซีรีส์เกาหลีแนวเกมหนีตายอย่าง ‘Alice in Borderland’ หรือกระทั่งมีฉากแข่งรถแบบไร้กติกาที่ทำให้อดนึกถึง ‘Death Race’ หนังแข่งรถดิสโทเปียของโรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) โน่นเลย

แต่ถึงจะมีภาพเดจาวูของหนังไซไฟโผล่มาเป็นระยะ แกนกลางของบทหนังก็ยังว่าด้วยเรื่องชนชั้นและความไม่เท่าเทียมที่ดูเหมือนเกาหลีเองจะยิ่งโหมประเด็นนี้หนักข้อเข้าไปอีกหลังความสำเร็จของ ‘Parasite’ ซึ่งการนำมาใช้กับ ‘Black Knight’ เองก็ดูจะไม่ได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะหนังฮอลลีวูดเองก็เล่นประเด็นนี้อยู่แล้วเพียงแต่ปัญหาสำคัญของมันคือการที่เรื่องที่มันจะเล่าถูกเฉไฉออกทะเลไปไกลตั้งแต่ต้นเท่านั้นเอง

กล่าวคือแม้มันจะมีพรีมิส (Premise) ง่าย ๆ คือจะเป็นอย่างไรหากโลกเกิดมลพิษและถูกผูกขาดอากาศหายใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่กลุ่มผู้อพยพต้องการอากาศหายใจอย่างเท่าเทียม ซีรีส์กลับบริหารเวลาในการเล่าเรื่องทั้ง 6 ตอนด้วยการเพิ่มปมประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งการฆาตกรรมน้องสาวนายพลหน่วยข่าวกรอง การจัดประลองเพื่อหาคนส่งของหรือกระทั่งประเด็นที่น่าจะสำคัญอย่างการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของบางตัวละครที่ท้ายที่สุดซีรีส์ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพวกมันมากเท่าที่ควร

แถมยังส่งผลให้ปมสำคัญทั้งความขัดแย้งระหว่างประธานบริษัทกับลูกชายที่ทำให้ฝ่ายหลังกลายเป็นเผด็จการบ้าอำนาจ หรือปมความแค้นของห้าแปดในอดีตที่กว่าจะได้บอกเล่าก็ปาไป 3-4 ตอนแล้ว มิหนำซ้ำปมเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่ซีรีส์เหมือนจะให้ความสำคัญอยู่ดี ๆ ก็หายไปจากเรื่องราวจนไม่รู้ว่าจะใส่มาทำไมอีกด้วย

นอกจากจุดบกพร่องเรื่องบทแล้ว ฉากแอ็กชันของซีรีส์โดยเฉพาะซีนที่เป็นมาร์เชียลอาร์ต ทำให้เห็นเลยว่าการกำกับของโจอึยซอกเอาไม่อยู่ทั้งการคุมโครีโอกราฟในฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือฉากแอ็กชันที่เป็นการขับรถไล่ล่าที่ถ่ายทอดออกมาได้จืดชืดแถมเดาทางได้หมดเลย

ดังนั้นสิ่งที่ดูจะเป็นจุดที่แข็งแรงที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นเสน่ห์ของนักแสดงทั้งหลายอย่างความหล่อของคิมอูบินที่ยอมรับเลยว่ามองเพลินมาก ๆ เป็นผู้ชายที่โครงหน้าและรูปร่างดีจนไม่แปลกใจที่ซีรีส์จะมอบบทฮีโร่ให้เขา หรือกระทั่งซงซึงฮอนที่มาเล่นบทร้ายก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความวิปริตและความบ้าอำนาจได้ชัดเจน ส่วนอีซมก็ยังเป็นอาหารตาให้หนุ่ม ๆ ได้อยู่แม้เรื่องนี้เธอจะปรากฎตัวในชุดทหารเป็นหลักก็ตาม