อดีตนางร้ายหน้าหวาน! ปอย ปวีณา เล่าชีวิต 10 ปีที่ห่างหน้าจอ เป็นซึมเศร้าเกือบฆ่าตัวตาย (มีคลิป)
ข่าวบันเทิงวันนี้
ถ้าพูดถึงนางร้ายมือตบที่เกรี้ยวกราดทางหน้าจอแฟน ๆ คงจะอดคิดถึงฝีไม้ลายมือของ ปอย ปวีณา ตันฑ์ศรีสุโรจน์ คนนี้ไม่ได้ เพราะนอกจากที่ฝากความร้ายจนติดตาแล้วความสวยของปอย ยังตรึงใจแฟนละครถึงขนาดที่ตั้งฉายาให้ว่า นางร้ายหน้าหวาน ให้เธอไปเลย ณ ตอนนั้น และเพื่อให้ทุกคนได้หายคิดถึงรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 จึงได้เชิญ สาวปอย มาเยือนรายการอัพเดทชีวิตที่ห่างหายจากวงการไปนานนับ 10 ปี เพื่อไปรับบทบาทหน้าที่สำคัญนั่นคือ แม่บ้าน และ คุณแม่ยังสวย แถมงานนี้เธอยังได้เล่าย้อนถึงอดีตในช่วงที่ท้องเคยป่วยเป็นโรคซึมเศร้าขั้นหนักจนเกือบคิดสั้น
ปอย ปวีณา เล่าชีวิต 10 ปีที่ห่างหน้าจอ เป็นซึมเศร้าเกือบฆ่าตัวตาย
ตอนนี้ คือ ทำขนมขาย?
ปอย ปวีณา : ประเด็นคือ ลูกอยากทำอาหารเราก็เลยไปซื้อคุกกี้มาทำกันอย่างตอนแรกที่ทำคือ เราก็แจกไปเรื่อย ๆ เพราะเราชอบทำให้คนอื่นทาน แต่คุณแฟนเขาก็มาทักเราว่าลองทำขายไหม ส่วนคุณแม่ก็มาสนับสนุนบอกว่าทำเลย ๆ ลองเปิด พรีออร์เดอร์ประมาณ 2 ชั่วโมงมา 60 ถุงเลยค่ะ แต่เราเปิดเป็นรอบ ๆ นะคะ ที่เราทำคือทำเป็นความสุข
แต่ 10 ปีแล้วที่ห่างหายขจากวงการบันเทิงไปเลย เพราะว่าแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่กับสามีที่โคราช ไม่คิดจะกลับมาแล้วเหรอ?
ปอย ปวีณา : คิดค่ะ แต่เพราะว่าระยะทางที่เราอยู่ไกลเราเลยมีข้อจำกัดคือ เราจะสามารถรับงานที่เป็นพิธีกรได้ หรือ ทำงานอะไรที่เป็นเวลาสั้น ๆ พอได้ค่ะ
แล้วทำไมตอนนั้นทิ้งโอกาสในวงการบันเทิงไปเลย แล้วไปแต่งงาน?
ปอย ปวีณา : เพราะมีสามีดีกว่าไหมค่ะ (หัวเราะ)
ซึ่งตอนนั้นคือที่ปอยอยู่คือ โพลีพลัส บทบาทที่ได้รับเลยคือ นางร้าย?
ปอย ปวีณา : ใช่ค่ะ หลังจากนั้นมาก็อิสระค่ะ ส่วนที่เราอยู่ในวงการมาที่ โพลีพลัส น่าจะประมาณ 10 กว่าปีค่ะ เพราะอย่างที่เราอยู่ โพลีพลัส เราก็จะถ่ายทีละเรื่อง ๆ เลยไม่ค่อยได้เห็นเราเยอะมาก ตอนนั้นที่เราอยู่ในวงการเล่นน่าจะประมาณ 20 เรื่องได้นะคะ
ขอบคุณคลิปจากรายการ ต้มยำอมรินทร์
วันที่ปอย มีความรักเข้ามาในชีวิตรู้ไหมว่าที่สุดแล้วเราเลือกทางนี้คือ เราต้องไปอยู่ที่โคราชแน่ ๆ?
ปอย ปวีณา : รู้ค่ะ และเราก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งช่วงแรก ๆ คือเราก็กลับมา กรุงเทพฯ เดือนละ 2 ครั้งค่ะ แต่พอมีลูกคือจบเลยไม่ได้เข้ามาเลยค่ะ เพราะว่าเราอยากอยู่กับลูกด้วย ส่วนงานของงานของสามีคือ ขายอุปกรณ์ช่าง อุปกรณ์โรงงานค่ะ ส่วน ปอย ก็มีหน้าที่คือช่วยเหลือเขาทำงานทุกอย่างเลยค่ะ คอยตรวจงานลูกน้องดูความเรียบร้อย ซึ่งเราก็เข้าออฟฟิศเหมือนเราทำงานเลย
แล้วปอยรู้สึกไหมจากเดิมที่เราแบบทำอะไรที่อิสระมาโดยตลอด แล้วเราต้องมาเปลี่ยนมาทำงานประจำ?
ปอย ปวีณา : มันมีหลายอย่างมากที่เราต้องปรับเปลี่ยนคือ อย่างเราต้องเข้าไปอยู่ในครอบครัวคนจีน ถึงแม้เราจะมาจากครอบครัวคนจีนก็เถอะแต่ไม่ได้ครอบครัวใหญ่เท่ากับของสามี เพราะบ้านเขาเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก ๆ และเราต้องมาทำงานประจำถ้าพูดถึงเงินเดือนมันก็ต่างจากที่เราเคยได้รับมาก แต่เราก็ไม่ได้ลังเลนะคะเพราะสุดท้ายเราก็เหลือครอบครัว เพราะคนเราถ้าไม่งอมืองอเท้ามันก็จะมีอะไรอื่น ๆ เข้ามาให้เราทำเรื่อย ๆ นะคะ ปอยเชื่อว่าแบบนั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องถามเลยว่าในจอเล่นได้ร้ายมาก แล้วชีวิตจริงร้ายเหมือนในละครไหม?
ปอย ปวีณา : ไม่ร้ายเลยค่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยตบกับใครเลย แต่ขึ้นเสียงมีบ้างกับสามี กรี๊ดมีบ้างแต่กับสามีเหมือนกัน แต่การที่เราไปทะเลาะกับคนอื่นคือไม่มีเลยไม่เคยว่าใครไม่กล้าว่าใครไม่ใช่เพราะอะไรคือ กลัวเขา เดี๋ยวเขาตอบกลับมาเราสู้เขาไม่ได้ (หัวเราะ)
อีกสิ่งหนึ่งในตัวของปอย คือที่เรามองเห็นเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริงมากเลยนะ ดูมีพลังสว่างมากแต่มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า ยืนที่หน้าผาจะกระโดดลงไปฆ่าตัวตายเลย?
ปอย ปวีณา : ใช่ ๆ ค่ะ ที่เราเป็นคือเป็นตอนท้องน้องโมนาค่ะ เพราะเกิดจากว่าเพราะว่าปอย แพ้ท้องหนักมากคือ แพ้จนเข้าห้องคลอดเลย 9 เดือนครบเลย ซึ่งช่วงที่เราท้องเราทานอะไรไม่ได้เลยเราทานอะไรไปก็อาเจียนออกมาหมดจนไม่มีอะไรจะอาเจียนเลยและอาหารที่เราทานได้ คือ ข้าวกับแกงจืดเป็นอาหารจานหลักเลยตลอด 9 เดือน ทานอะไรก็ไม่อร่อย แต่ที่เรามาทานได้ตอนที่เรา 9 เดือนแล้วคือ ลาบก้อย แซลมอนดิบ แต่อะไรที่เป็นปรุง ๆ คือ ทานไม่ได้เลยค่ะ พอทานเข้าไปก็คือ อาเจียนออกหมดเลย แล้วปกติคือ ปอย ไม่ชอบทานของหวานแล้วพอมีน้องคือ ทานแต่ของหวานเลยบวมมาก แต่ที่เราเป็นโรคซึมเศร้า คือ มาจากการที่เราอาเจียนหนักมาก ซึ่งเวลาเดียวที่เราไม่อาเจียนเลยคือ ตอนที่เราหลับ เราเลยพยายามที่จะนอนหลับเพราะเวลาที่เราตื่นเราก็จะอาเจียน แต่กลับกลายเป็นว่าเรานอนเยอะไปมันกลับนอนไม่หลับถึง 7 วันเลย และ ทำให้เรากลัวมากคือ นั่งรถจากบ้านเพื่อที่จะไปเที่ยวห้างประมาณแค่ กิโลสองกิโล แบบนี้ก็คือเราก็ไปไม่ได้นะคะ เพราะว่าเรารู้สึกกลัวไปหมด (ซึ่งเราก็ไม่รู้ด้วยค่ะว่ามันเกิดจากอะไรความกลัวอันนั้น) แต่ปอย มานั่งคิดว่าตอนนั้นเราน่าจะเกิดความกังวลขั้นสุดกับการที่เราจะอาเจียนเพราะพอเราไปไหน เดินลงรถแค่สองสามก้าวเราก็ต้องไปห้องน้ำเพื่ออาเจียนแล้วค่ะ คงเกิดจากความที่เรากังวลซึ่งเราเป็นแบบนี้จนประมาณ 4 เดือนเราก็ไปหาคุณหมอ ขอให้คุณหมอเอาน้องออกให้หน่อยไม่ไหวแล้ว คือ ไม่ไหวจริง ๆ หมอก็อึ้ง แต่เราไม่ได้ไม่รักน้องนะคะ แต่เพราะเราเคยตั้งท้องลูกคนแรกแล้วก็แท้งไป ซึ่งตอนนั้นก็หนักแต่พอเขาแท้งอาการเราก็หาย ซึ่งพอคนที่สองที่เราแพ้หนัก ๆ เราก็คิดว่าถ้าเอาออกไปก็คงหายคิดแค่นั้นเพราะมันหนักมากจริง ซึ่งที่เราบอกว่าจะกระโดดหน้าผาคือ บ้านเราอยู่ชั้น 5 เราจะกระโดดลงมาจากตรงนั้นแหละค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้เราหยุดคิดที่จะไม่คิดฆ่าตัวตายเพราะว่าเรากลัวว่าเรากระโดดลงไปแล้วเราจะไม่ตาย แล้วก็คิดถึงคุณแม่ค่ะ เพราะว่าเราเป็นลูกคนเดียวถ้าเราไม่อยู่แล้วใครจะดูแลท่าน ซึ่งสติของเราก็เลยกลับมาในการที่เราคิดที่จะทำไม่ดีในตอนนั้นด้วยค่ะ แล้วเราก็เลยตั้งสติตั้งใจ และพอหลังจากที่คลอดน้องเรียบร้อย ปอยคือ โชคดีมากคุณแม่พาไปหาคุณหมอ แล้วคุณแม่คือมาช่วยเลี้ยงลูกให้เป็นเดือน ๆ เลย คุณแม่ให้เรานอนเลย และ คอยปั๊มนมเพื่อให้ลูกอย่างเดียวเลยค่ะ ซึ่งพอเราคลอดปุ๊บ ทุกอย่างที่เราเป็นคือหายหมด สามารถทานได้ทุกสิ่ง และสิ่งหนึ่งคือ ลูกสาวที่เกิดมาเขาเลี้ยงง่ายมากด้วยค่ะ เรารู้สึกว่าเรามีเขาแล้วเรามีความสุขเลยกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังจะมาทำน้องคนที่สองอยู่ค่ะ
กดเลย >> community แห่งความบันเทิง 📸เมาท์ข่าวดารา กับเจ๊รุงรังขังรวม
ทั้งข่าว หนัง ซีรีส์ 🍿ละคร ดนตรี และศิลปินไอดอล 😍ที่คุณชื่นชอบ บนแอปทรูไอดี