‘สรพงศ์’ ในความทรงจำ ‘ท่านมุ้ย’ จาก ‘วันแรกพบ’ ถึง ‘วันสุดท้าย’
“จริงๆ แล้วมีหลายคนนะครับ ประมาณ 3 คน ที่มาสมัครพร้อมกัน ในตอนนั้นผมกำลังทำเรื่อง ’ห้องสีชมพู’ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือที่หลายๆคนคุ้นในนาม ท่านมุ้ย ตรัส เมื่อมีผู้สอบถามถึง สรพงศ์ ชาตรี ผู้ล่วงลับ
จากนั้นผู้กำกับที่ทรงเลือกสรพงศ์ ชาตรี ทำงานด้วยกันตลอดๆ ทรงเล่าต่อว่า ตอนนั้นมีตัวละครเหลืออยู่ตัวหนึ่ง เป็นตัวร้าย ซึ่งเมื่อถามว่าใครสนใจจะรับ คนหนึ่งก็ว่าไม่ละ เพราะอยากจะเป็นพระเอก อีกคนก็ไม่เอาเหมือนกัน เพราะอยากจะเป็นพระรอง
“แต่พอถามคุณสรพงศ์ ชาตรี เขาตอบทันทีว่า ผมเล่นครับ และจากวันนั้นผมก็เห็นแววเขาเลย คือเขาไม่เลือกบท ขอให้บทมันดีก็ละกัน จากนั้นผมก็ทดลองเขาดู ว่าเขาเล่นได้หรือเปล่า เพราะตอนที่มาสมัคร เขาแต่งตัวเต็มที่ ผูกเนกไทด์ ใส่เสื้อนอก ผมเลยทดลองโดยการบอกเขาว่า ให้เขาอุ้มเด็ก ซึ่งก็คือ ตุ๊กตา จินดานุช และกระโดนข้ามท้องร่อง ซึ่งเขาทำได้ทันทีเลย ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในน้ำ เสื้อสูทของเขานี่คือเปียกโชกไปหมดเลย ผมก็เลยเห็นแววเขามาตั้งแต่วันนั้น”
“จากนั้นพอเริ่มถ่ายทำห้องสีชมพู ผมก็ให้เขาเล่นเป็นตัวผู้ร้าย แต่ว่าจริงๆ แล้วมันแทบจะเป็นตัวพระเอกเลยทีเดียว”
“นับจากวันนั้นมาก็ทำให้ผมเห็นแววว่าสรพงศ์สามารถเล่นเป็นพระเอกได้ นั่นคือครั้งแรกเลยนะครับ”
ดังนั้นเมื่อจะทำเรื่อง ‘มันมากับความมืด’ และตัวพระเอกคือ ไชยา สุริยัน ที่วางไว้เกิดติดภารกิจ จึงทรงตัดสินใจ “เอาคนที่อยู่ใกล้ตัวผมมาเล่น”
“ตอนนั้นคุณสรพงศ์แทบจะเรียกได้ว่าทำทุกอย่าง ผมจึงโปรโมทให้ขึ้นมาเป็นพระเอกแทน”
“ทุกคนบอกว่าคุณไชยาเป็นพระเอก 2 หรือ 3 ตุ๊กตาทอง ผมจำไม่ได้ แต่ผมบอกว่าคุณดูเด็กคนนี้นะ ว่าเขาจะได้ตุ๊กตาทองมากกว่าคุณไชยา ซึ่งก็เป็นอย่างที่ผมคาดคะเนไว้”
ในความคิดของท่านมุ้ย สรพงศ์ “เป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย”
“อย่างสมัยนู้นทุกคนไว้ผมยาว ผมให้เขามาเล่นเป็นหมอกานต์ สิ่งแรกที่ทำคือจับตัดผม มันเป็นสิ่งที่สมัยนู้นเขาไม่ทำกัน ต้องไว้ผมยาว ใส่กางเกงขาบาน แต่ว่าสรพงศ์ยอมตัด ตัดออกมาหน้าเขาเปลี่ยน จากเด็กวัยรุ่นไว้ผมยาว กลายเป็นหมอกานต์ ผมสั้น แล้วแสดงได้สมบทบาทมาก”
“เรามองสรพงศ์ในฐานะที่เขามีความตั้งใจ มีความพยายามสูงมาก มีความตั้งใจอย่างสูงตั้งแต่แรกแล้ว”
เรื่องชื่อ ‘สรพงศ์’ อันเป็นชื่อในวงการ ที่พระเอกคนดังใช้ และคนทั่วไปคุ้นเคยมากกว่าชื่อจริง ‘กรีพงศ์’ นั้น ท่านมุ้ยทรงเล่าว่า พระบิดาคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ เป็นคนตั้งให้ โดย ‘สร’ มาจากพระนามอนุสร ‘พงศ์’ มาจาก สุรพงศ์ โปร่งมณี ผู้ที่พามาฝากตัวกับท่านมุ้ย ส่วน ‘ชาตรี’ ก็มาจาก เฉลิมชาตรี ของท่าน
เรื่องอาการป่วยของสรพงศ์ ท่านมุ้ยตรัสว่ารับรู้มานานนับปีแล้ว
“ตอนที่เขาตาย ผมอยู่กับเขาตลอด ตั้งแต่ต้นเลย มือจับหัว จนกระทั่งวิญญาณเขาออกจากร่าง”
ทรงอยู่เคียงข้างจนถึงวันสุดท้าย.