Short CommentThe Railway Men: The Untold Story Of Bhopal 1984 คนรถไฟโภปาล 1984 (2023)เข้ม อึดอัด กดดัน หดหู่ดูเหมือนเป็นสูตรเรื่องของหายนะจากมือมนุษย์ แต่เจ็บปวดจนพูดไม่ออกเพราะมันคือเรื่องจริงโดยปกติแล้วถ้าเป็นงานจากอินเดียพูดภาษาฮินดีผู้เขียนจะดูหนังมากกว่าซีรีส์เพราะบางทีเฉพาะตัวหนังก็ปาเข้าไปสามชั่วโมงเข้าให้ซึ่งมีไม่น้อยที่เหมือนเป็นการลากยาวไปโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการเลือกดูซีรีส์อินเดียอาจมีอคติบางอย่างตรงนี้มาคอยสะกิดให้ไม่ได้ตัดสินใจดูด้วยเรื่องของเวลาหรือซีรีส์ที่ดูประจำเอาจริงๆก็เกาหลีนี่ล่ะดูไม่ค่อยทันแล้วด้วย แต่ถามว่าดูบ้างหรือไม่ก็ดูอยู่บ้างแต่น้อยมากส่วนกับเรื่องนี้ที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้คือมีความตั้งใจที่จะดูและกดแจ้งเตือนเอาไว้ ทว่าเมื่อลงสตรีมจริงๆก็ไม่มีเวลาดูในตอนนั้นซึ่งสารภาพว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีจำนวนตอนมากน้อยเท่าไหร่แต่ที่เห็นคือเป็น Limited Series ที่จะจบในตัวไม่ต้องพะวงว่าจะค้างคาไว้เพื่อมีซีซันต่อไป ส่วนเหตุผลหลักที่อยากดูขนาดนี้อาจเพราะผู้เขียนชอบดูเรื่องแบบนี้ด้วยกระมังก็ไม่แน่ใจเพราะแม้จะไม่ถึงกับเสาะแสวงหาขวนขวายดูแต่เมื่อมีมาอยู่ในสายตามักไม่พลาด กับเรื่องเล่าของหายนะที่เกิดจากมนุษย์หรือธรรมชาติที่ต้องมีคนเสียสละที่ดูแล้วอาจหดหู่มากกว่าบันเทิง กระนั้นเรื่องแบบนี้มักชี้ให้เห็นบางอย่างในความเป็นมนุษย์3 ธันวาคม 1984 แก๊สเมทิลไอโซไซยาเนตหรือเอ็มไอซีรั่วออกจากโรงงานเคมีของยูเนี่ยนคาร์ไบด์ที่เมืองโภปาลประเทศอินเดีย แก๊สคร่าชีวิตคนไปมากกว่าหนึ่งหมืนห้าพันคนนับเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติทางอุตสาหกรรมที่แย่ที่สุดในโลก ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์รั่วไหลพนักงานในโรงงานที่ผู้บริหารละเลยมาตรการต่างๆก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนให้กับผู้บิหารชาวต่างชาติแต่ก็ถูกหมางเมิน ดังนั้นชีวิตในโภปาลที่เต็มไปด้วยคนชั้นแรงงานก็ดำเนินไปตามปกติซึ่งก็คือ Iftekaar Siddiqui (Kay Kay Menon) นายสถานีแห่งชุมทางรถไฟโภปาลที่ยังมาบริหารความวุ่นวายในสถานีที่คับคั่งที่สุดแห่งนี้เช่นเดิม Imad Riaz (Babil Khan) พนักงานซ่อมบำรุงคนใหม่ที่เพิ่งลาออกจากโรงงานคาร์ไบด์พร้อมแผลใจและเหมือนว่าได้งานที่ใช่สำหรับเขา และ Balwant Yadav (Divyendu Sharma) โจรรถไฟที่หวังจะมาปล้นเงินก้อนโตที่ชุมทางแห่งนี้แต่ดันมาผิดวันเมื่อแก๊สรั่วเริ่มคร่าชีวิตคนในเมืองและในสถานี กระนั้นเมื่อ Rati Pandey (Ranganathan Madhavan) ผู้จัดการการรถไฟกลางแห่งอินเดียรู้เข้าจึงระดมคนรถไฟมาช่วยเหลือชาวเมืองแม้ว่าต้องขัดคำสั่งจากเบื้องบนก็ตามเมื่ออ้างอิงจากเรื่องจริงสิ่งที่ตามมาคือความหดหู่ที่เล่าด้วยความเข้ม อึดอัด กดดันและขมึงตึง จั่วหัวไว้เลยว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงซึ่งเท่าที่ดูน่าจะทั้งหมดแค่ปรับเปลี่ยนชื่อตัวละครและเติมตัวละครเข้าไปเพื่อให้มีเรื่องเชิงดราม่ามาดึงดูดใจ ซึ่งจากจุดเริ่มต้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในการที่เห็นคนที่ทำให้เพื่อนร่วมชาติต้องล้มตายเป็นเรือนหมื่นแล้วโบยบินจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ เรื่องจึงมุ่งมั่นจะไปในทางความหดหู่จากการที่คนในเมืองโภปาลที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมารับกรรมจากความชุ่ยของพวกนายทุน แล้วเมื่อชุมชนที่อยู่รอบๆโรงงานเป็นชนชั้นล่างของสังคมที่ยอมตายดีกว่ายอมตกงานความมุ่งมั่นที่ว่าจึงมาเต็มที่เพราะตลอดทางตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องมีพัฒนาการไปในทางอึดอัดกดดันและเคร่งตึง นั่นคือไม่มีจังหวะให้อารมณ์ที่ตึงนั้นได้คลายลงบ้างเพราะสถานการณที่พัฒนาไปเรื่อยๆในขณะที่คนดูที่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงยิ่งเศร้าและหดหู่หัวใจจนดิ่ง แน่นอนสารตั้งต้นแรกคือคนรถไฟที่เป็นผู้เสียสละและเป็นฮีโร่ในการนี้แต่สิ่งที่อยู่ข้างหลังที่มีพลังเข้มข้นนั่นคือความเป็นคนที่ไม่ได้มีกันทุกคนบีบหัวใจด้วยความรู้สึกมืดมนไร้ทางออกไม่รู้ว่าจะรอดไปได้อย่างไรปานอยู่ในเหตุการณ์ สิ่งที่ทำได้ดีมากในเรื่องนี้ที่มีเพียงสี่ตอนคืออารมณ์ร่วมที่พาความรู้สึกมาให้ ด้วยความที่คนดูรู้และเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าไม่มีการเตรียมรับมือ แล้วด้วยความสงสารที่ได้เห็นภาพของชาวบ้านชนชั้นรากฐานของสังคมต้องล้มตายลงดังใบไม้ร่วง นั่นคือความรู้สึกสงสารเห็นใจและเจ็บปวดใจที่ได้เห็นมนุษย์ต้องสิ้นใจลงแบบที่ไม่รู้ตัวและไม่ได้ผิดอะไรแล้วแน่นอนตัวต้นเหตุก็ลอยตัวรอดตัวไปโดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้ ความรู้สึกจึงพาอารมณ์ร่วมมาเต็มที่ที่ความขมึงตึงของตัวเรื่องประกอบกับการถูกกดด้วยความเห็นใจทำให้เหมือนกับว่ากลั้นหายใจหรืออาจมีบ้างที่อยากหยิบผ้ามาปิดจมูกตามไป แล้วด้วยความเข้มที่อัดเข้ามาใส่โดยที่มีเจตนาจะเชิดชูผู้กล้าและผู้เสียสละของเหล่าคนรถไฟที่มีบ้างต้องสละชีวิตแล้วระหว่างนั้นก็ถูกขัดขวางโดยระบบราชการอย่างน่ารังเกียจ ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูไร้ทางออกจนมองไม่ออกว่าเรื่องจะคลี่คลายไปได้อย่างไรแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าจะต้องผ่านไปแต่ก็ลุ้นสุดหัวใจทีเดียวสร้างความน่าติดตามอย่างสุดขีดพร้อมชี้ให้เห็นเรื่องของมนุษย์ที่ทำได้ทุกสิ่งโดยไม่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์ หากไม่ได้บอกก่อนว่านี่คือการได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงซึ่งก็คือเรื่องจริงทั้งนั้นเพราะตอนท้ายมีฟุตเตจภาพจริงๆออกมาให้ดูเรื่องนี้จะกลายเป็นงานตามสูตรทันที นั่นคือเรื่องของหายนะจากความละโมบและความสะเพร่าของมนุษย์ที่เห็นผลประโยชน์มากกว่าความเป็นมนุษย์ ทั้งยังก่นด่าระบบราชการที่ข้าราชการระดับสูงนั่งอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้วสนใจแต่หน้าตาหรือตำแหน่งหน้าที่การงานจนทำได้แม้กระทั่งขัดขวางทางช่วยชีวิตประชาชนของตนเอง แน่นอนจะต้องมีผู้กล้าที่เสียสละที่เป็นคนตัวเล็กๆที่อาจไม่ได้มีหน้าตาในสังคมคนที่ไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อทุกอย่างเหล่านี้คือสูตรสำเร็จของงานประมาณนี้ แต่นี่คือเรื่องจริงจึงชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นี่เองที่สามารถทำเรื่องอะไรก็ได้เพื่อตนเองโดยที่ไม่สนว่าจะสูญเสียกันอีกเท่าไหร่ นั่นยิ่งทำให้เรื่องนี้มีความน่าติดตามเพราะนอกจากจะต้องผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายไปให้ได้ไปด้วยกันยังอยากรู้ว่าคนเหล่านั้นจะได้รับผลของการกระทำอย่างไรบ้าง น่าเสียดายที่นี่คือเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงจึงไม่มีอะไรประโลมใจนอกจากความเจ็บปวดหดหู่จนนาทีสุดท้ายอาจดูเหมือนตั้งใจจนดูยัดเยียดไปบ้างแต่นี่คืองานระดับซีรีส์ที่มีอะไรให้เล่ามากกว่าและมันออกมาทางการแสดง แต่สิ่งหนึ่งที่มักมีในงานแนวนี้คืออารมณ์เชิดชูและการสร้างความรู้สึกร่วมที่ถ้ามีได้จะดีมากเพาะเมื่อคนดูมีความรู้สึกร่วมอารมณ์ก็มาเต็มอาการลุ้นและเอาใจช่วยก็มา ซึ่งสำหรับเรื่องนี้สิ่งที่ว่ามาถ้าจะบอกว่าเห็นอาการเร่งและขยี้อยู่ไม่น้อยและมันแสดงออกมาผ่านการแสดงที่อาจต้องเข้าใจอีกแหละว่ามันคืองานระดับซีรีส์ ส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นเพราะการสร้างตัวละครที่ไม่ชัดพอในปูมหลังที่จะทำให้เชื่อในทันทีว่าแต่ละคนที่เห็นคือคนที่พร้อมสละชีพเพื่อคนอื่น ดังนั้นมันจึงออกมาผ่านการแสดงที่ดูล้นๆไปคือวอนนาบีฮีโร่ไปหน่อยของทั้ง Kay Kay Menon,Babil Khan,Ranganathan MadhavanและDivyendu Sharma โดยเฉพาะรายสุดท้ายที่เห็นชัดเลยว่ามาเพื่อปลุกความเป็นฮีโร่ในตัวคุณด้วยบทโจรกลับใจ ที่น่าชื่นชมกลับเป็นนักแสดงสมทบมากกว่าที่ดูเนียนตากว่ามากอาจเพราะบทไม่ได้พยายามให้เป็นฮีโร่ผิดกับตัวละครหลักสี่คนที่เวลาพอมีถ้าเล่าได้กว่านี้น่าจะไม่ล้นอย่างที่เห็นจะว่าเป็นความบันเทิงคงไม่ใช่เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นแต่ก็หยุดดูไม่ได้ สารภาพว่าผู้เขียนดูเรื่องนี้ก็อดคิดไม่ได้ถึงซีรีส์อย่าง Chernobyl (2019) ในธีมและโทนเรื่องรวมถึงการเดินเรื่อง ซึ่งงานนี้ไม่ได้มาเพื่อสร้างความบันเทิงเพราะตลอดสี่ตอนเกือบสี่ชั่วโมงจะเต็มไปด้วยความอึดอัด กดดัน หม่นโศก ดิ่งลึกด้วยความเจ็บปวดรวมถึงขึ้งโกรธกับระบบราชการในตอนนั้นเหมือนมีชะตากรรมร่วมกันกับภาพที่เห็น แต่เอาจริงเรื่องนี้ยังสามารถตัดออกมาเป็นเวลาฉายประมาณสองชั่วโมงกว่าจะเป็นหนังที่เข้มข้นตื่นเต้นเร้าใจทะลุปรอท เพราะมีบางเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าใส่เข้ามาเพื่อลากเวลาและดึงดราม่าแบบถ้าตัดออกไปก็ไม่เสียหายอย่างพวกที่จะขึ้นมาทำร้ายชาวซิกข์บนรถไฟที่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ลืมไปเลยเพราะไม่เข้าพวก แต่แม้จะไม่ได้มาพร้อมความบันเทิงและยังมีช่วงที่ไม่จำเป็นอยู่บ้างแต่ก็มีพลังพอให้ติดตามได้จนจบรวดเดียวแม้จะหดหู่เศร้าปนสงสารและเจ็บปวดแต่ก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องจะจบลงยังไง แต่เชื่อหรือไม่ว่าอารมณ์เชิดชูฮีโร่ที่ตั้งใจมาขายได้ถูกการเล่าเรื่องที่กดดิ่งได้ใจกลบหายไปจนแทบไม่ได้กลิ่นต้องมาเร่งเอาตอนท้ายนี่เองดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก/ ภาพที่ 2,3,4,5 / ภาพที่ 1,6,7,8,9 จาก Instagram netflix_in ถ้าคุณชอบหนังอินเดีย คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/2GmnXAYNDpDrhttps://entertainment.trueid.net/detail/VKO5wMY69JMbhttps://entertainment.trueid.net/detail/q3NvDjbwvwb3คอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน