Short CommentPoong, The Joseon Psychiatrist : ยูเซพุง ยอดจิตแพทย์โชซอน Season 1 (2022)หนักเบาเข้ากันดีที่อาจไม่ใหม่หรือประทับใจเต็มร้อยแต่มีดีที่เสน่ห์จนทำให้ดูแล้วหยุดไม่ได้ช่วงหลังมาดูไปบ่นไปสังเกตได้ว่าละครเกาหลีเริ่มมีจำนวนตอนลดลงจากมาตรฐานทั่วไปสิบหกตอนเหลือเพียงสิบสองตอนมากขึ้น ทว่าก็เริ่มเห็นการแบ่งเนื้อหาออกเป็นสองภาคหรือสองซีซันมากขึ้นเช่นกันทั้งตังใจแบ่งและบางเรื่องก็เห็นชัดว่าตั้งใจไปต่อทั้งที่จะอวสานก็ยังได้ แต่จะด้วยเหตุผลใดก็เป็นเรื่องของเขาเรามีหน้าที่ดูก็ดูกันต่อไปเพียงแต่บางครั้งบางเรื่องเมื่อได้กลิ่นว่าจะมีการแยกเป็นสองภาคก็ตัดสินใจยังไม่ดูเพราะขี้เกียจรอด้วยความค้างคา เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ผู้เขียนตั้งใจจะดูเมื่อออกอากาศสดตอนที่ใกล้จบด้วยเหตุผลเพราะเรื่องนี้ลูกสาวคิมฮยางกีเป็นนางเอก เพราะผู้เขียนเหมือนมีความผูกพันที่ได้เห็นน้องแสดงมาตั้งแต่เป็นนักแสดงเด็กจนมาวันนี้ที่โตเป็นสาวและอายุน้อยกว่าลูกชายคนโตผู้เขียนสองปีไล่เลี่ยกัน แต่เมื่อรู้ว่าจะมีการไปต่อซีซันสองจึงหวาดระแวงว่าจะเป็นการตัดเนื้อหาให้ค้างคาแบบบางเรื่องจึงรอถึงตอนนี้ที่ซีซันสองออกอากาศแล้วจึงเริ่มดูดีกว่า แล้วเมื่อดูจบก็พบว่าไม่ได้ค้างคาอะไรแต่เห็นชัดเจนว่าตั้งใจไปต่อเมื่อเรื่องเดินมาได้ประมาณหนึ่งเพราะถ้าจะจบก็ได้และสวยดีแล้วแต่เลือกใส่บทสรุปเพื่อไปต่อเท่านั้นยูเซพุงชื่อเดิมยูเซยอบ (คิมมินแจ) หมอฝังเข็มอัจฉริยะที่ถูกความฉ้อฉลจากเกมอำนาจในราชวังที่ทำให้การรักษาพระราชาเป็นความผิดพลาดและต้องสูญสิ้นทุกอย่างจนถูกเนรเทศและไม่สามารถฝังเข็มได้อีกด้วยมีแผลในใจ แล้วเมื่อสิ้นพลังในการมีชีวิตอยู่ทางออกคือการจบชีวิตตนเองแล้วเขาก็ได้เจอกับคุณหนูซออึนอู (คิมฮยางกี) ที่มอบพลังชีวิตให้อีกครั้ง แต่โชคชะตาก็พาเขาโซซัดโซเซมาถึงเมืองโซรกและได้พบกับหมอคเยจีฮัน (คิมซังคยอง จาก Racket Boys) หมอชื่อดังประจำเมืองแต่ปากร้ายหน้าเงินและขี้เมา สุดท้ายเขาก็ได้มาอยู่ในโรงหมอของหมอคเยเพื่อมาพบกับคุณหนูอึนอูอีกครั้งแต่คราวนี้คนที่หมดพลังในการมีชีวิตกลับเป็นคุณหนูอึนอูเอง จนเมื่อได้ช่วยชีวิตคุณหนูอึนอูจากการพยายามจบชีวิตเขาก็พบว่าการรักษาชีวิตหาใช่ต้องรักษาด้วยยาหรือการฝังเข็มเท่านั้น แต่การรักษาทางจิตใจหรือเยียวยาแผลใจที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญและการได้รักษาคนให้หายจากการป่วยใจแบบนี้เขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อว่ายูเซพุง แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มจากความวุ่นวายความวุ่นวายก็ตามยูเซพุงมาแล้วเขาจะแก้ไขยังไงผสานหนักเบาเข้ากันได้ดีมีความเข้มข้นปนอารมณ์ขันสมัยใหม่แต่น่าเสียดายที่ยังไม่พ้นทางเดิมๆ เพราะผู้เขียนออกตัวแล้วว่าที่ดูเพราะอยากดูลูกสาวแสดงดังนั้นเมื่อเห็นชื่อเรื่องที่ใช้คำว่า Psychiatrist หรือจิตแพทย์ที่เป็นละครย้อนยุคก็คาดหวังความสดใหม่ กระนั้นเรื่องก็ยังฉีกไม้พ้นทางเดิมที่ว่าด้วยความฉ้อฉลในการชิงอำนาจในวังหลวงและเล่าด้วยการสืบคดีที่ต้องใช้การเยียวยาจิตใจหรือรักษาไข้ใจเป็นองค์ประกอบหลักที่เล่าเป็นเรื่องย่อยๆ ซึ่งถ้าเอาแบบไม่เกรงใจคือตัวเนื้อหาหรือเรื่องยังหาได้ทั่วไปในละครเกาหลีที่ถ้าเปลี่ยนเป็นยุคปัจจุบันก็ได้อารมณ์ก็ไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เด่นของบทละครเรื่องนี้คือความสมดุลของเรื่องหนักคือเกมอำนาจและความทุรยศในวังหลวงของขุนนางตัวพ่อที่เข้มข้นหนักหน่วงตามแนวชากึกชิงบัลลังก์ แล้วผสานเข้ากับอารมณ์ขันสมัยใหม่ที่ดูสดใสดูง่ายดูสบายได้เป็นอย่างดีทำให้เรื่องนี้ออกมาครบรสทั้งสนุกเข้มข้นยังมีความขบขันให้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนหัวเราะได้ตลอดทาง นั่นหมายความว่าแม้หน้าเสื่อจะเป็นงานเบาสมองที่รองรับเรื่องของการรักษาไข้ใจแต่ยังมีความเข้มข้นในเบื้องหลังให้ต้องติดตามการรักษาคนอื่นเพื่อเยียวยาตนเองที่มาพร้อมความเป็นงานรอมคอมที่มีพื้นฐาน อย่างที่บอกคือเรื่องนี้คือความสมดุลของเรื่องหนักเบาคือเริ่มด้วยเรื่องหนักเพื่อผลักตัวละครยูเซยอบเข้าสู่หุบเหวของแผลใจก่อนมาจอกับคุณหนูอึนอูที่เป็นความสดใสมาลบความหม่น แต่เมื่อตนเองพ้นความหม่นก็ต้องมาพบความหม่นที่ปกคลุมความสดใสที่ตนเคยได้รับจนต้องหาทางเยียวยาและหลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการของความสดใสในแบบรอมคอมที่ดูสบาย แต่บทละครก็เลือกเล่าเป็นเรื่องย่อยๆที่ต้องเยียวยาหัวใจสองคนยูเซพุงกับคุณหนูอึนอูจึงต้องใช้ชีวิตร่วมกันโดยมีหมอคเยและครอบครัวเป็นตัวประสาน และทุกเรื่องที่ทั้งคู่ต้องผ่านล้วนสะท้อนเข้าหาตัวยูเซพุงและคุณหนูอึนอูทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูมีพื้นฐาน แต่ที่ฉลาดคือการไม่พยายามออกรสหวานคือการวางพื้นฐานตัวละครให้ต้องรักษาระยะห่างคนดูจึงรู้สึกถึงความน่ารักน่าลุ้นมากกว่าต้องการความหวานละมุนซึ่งเป็นส่งที่ดีเพราะเรื่องนี้ยังมีของหนักอยู่เบื้องหลังหากหวานเกินไปเรื่องอาจไม่สมดุล แล้วสุดท้ายอาจไม่ใช่การหายจากอาการป่วยใจเต็มที่แต่ก็มีคนมาเติมเต็มและช่วยเป็นที่พักใจตัวละครที่มีเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องเดินไปด้วยสีสัน ความเพลิดเพลินในการดูเรื่องนี้ที่ไม่เกี่ยวกับความเข้มข้นของเนื้อหนาทั้งเรื่องหลักและเรื่องย่อยคือสีสันของตัวละครที่อาจเหมือนกับหาได้ทั่วไปแต่ยังมีเสน่ห์ที่ยังคงทำได้ สำหรับผู้เขียนชอบความสมัยใหม่ในเรื่องย้อนยุคในส่วนของตัวละครที่เหมือนพวกแหกคอกนอกกรอบมารวมกัน และที่ลืมไม่ลงคือคุณหนูอึนอูที่น่ารักแต่เหมือนพยายามพับเพียบพับผ้าแต่สุดท้ายผ้าก็ยับอยู่ดีทั้งการกินที่น่าอร่อยตามและการทำหน้าไม่ถูกเวลาเขิน ส่วนตัวละครอื่นๆล้วนมีสีสันและบทก็ฉลาดพอที่ขีดเส้นความสำคัญของแต่ละคนได้จนทำให้ได้ใจคนดูทั้งหมอคเย,มันบก,ยาย,ป้านัมแฮ,อิบบุนและจังกุน ซึ่งไม่ต้องดูให้ละเอียดแต่เอาความรู้สึกก็รู้ว่าตัวละครเหล่านี้คือสีสันที่โดดเด่นไม่แพ้พระเอกนางเอกและมีส่วนสำคัญให้เรื่องของพระนางเดินไปด้วยความลื่นไหลในความพยายามรักษาระยะห่าง ซึ่งก็คือพื้นฐานที่สำคัญของเนื้อหาในส่วนของความเบาหรืออารมณ์ขันในความโรแมนติกที่พอดี หรือจะรวมตัวร้ายที่เป็นเหมือนตัวตลกอย่างปลัดอิมซุนมันที่น่าหมั่นไส้แต่ก็เป็นตัวตลกที่ถ้าชิงตายไปก่อนเรื่องก็หมดสนุกทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสน่ห์นักแสดงนำพาเรื่องไปแต่ก็ใช่ว่าจะแบกเรื่องไว้ทั้งหมด แน่นอนในส่วนของการแสดงพระเอกนางเอกคือสิ่งต้องสะดุดตาและสะดุดใจเพราะเปรียบไปก็เหมือนหน้าร้านที่ต้องสวยงามโดดเด่น ซึ่งด้วยมิติตัวละครที่ต้องเติมเต็มและเยียวยาซึ่งกันและกันผ่านบาดแผลที่ทำให้ต้องรักษาระยะห่างไว้ไม่อาจเผยใจออกมาทำให้ความรู้สึกนี้ดูดีและเสน่ห์ที่พึงมีในส่วนนี้นักแสดงทั้งคิมมินแจและคิมฮยางกีทำได้ดีและลื่นไหลได้อย่างที่บทต้องการ แต่ที่ผู้เขียนชอบคือเมื่อความสัมพันธ์ต้องเว้นระยะพระนางจึงไม่ต้องแบกเรื่องมากเพราะมีตัวละครสมทบที่มีสีสันรายล้อม ซึ่งนักแสดงนำอีกคนอย่างคิมซังคยองหรือเหล่าตัวสมทบชั้นดีคืออันชางฮวาน (มันบก),จอนกุกฮยาง (ยาย),ยอนโบรา (ป้านัมแฮ),คิมซูอัน (อิบบุน),ฮันชางมิน (จังกุน) และคิมฮยองมุก (อิมซุนมัน) ที่พาอารมณ์ขันม่วนๆมาให้ดูเพลิน ซึ่งทำให้ในส่วนของพระนางก็ทำหน้าที่ไปแล้วให้ตัวละครที่รายล้อมเหล่านี้ทีเป็นแรงสนับสนุนชั้นเยี่ยมให้เรื่องเดินหน้าไปอย่างสนุกจนกระทั่งแม้เรื่องจะสมดุลแต่ในส่วนของตัวละครฝั่งของอารมณ์ขันเบาๆชนะขาดเรื่องความน่าจดจำเป็นซีซันแรกที่จบสวยซึ่งดูสนุกเพลินจนลืมมองข้อบกพร่องที่ถ้าจะอวสานก็ได้แต่เลือกไปต่อในตอนสุดท้ายจริงๆ สารภาพว่าทีแรกจะเขียนบทความเป็นซีซันหนึ่งและสองรวมกันแต่ก็อดไม่ได้เพราะถ้าเอาตามจริงคือเรื่องจะอวสานตรงนี้เลยก็คงไม่เสียหาย และเท่าที่เห็นในฉากสุดท้ายอาจไม่ใช่การวางแผนมาให้ไปต่อด้วยซ้ำเพราะเห็นชัดเลยว่าตั้งใจใส่มาทีหลัง แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามเรื่องที่เล่าก็ไม่เสียหายเมื่อลงท้ายได้อย่างที่ควรเป็นอะไรที่ควรสางก็เรียบร้อยไม่ปล่อยให้คนดูค้างคาในส่วนของเนื้อหาหลัก ส่วนในเรื่องความรักที่ควรลงเอยที่ตรงนั้นก็ว่ากันไปเพราะถ้าจะว่ากันตามตรงคือถึงจุดนี้ตัวละครขายได้และถ้าจะไปต่อก็ไปได้ยาวๆขึ้นอยู่กับว่าจะหาอะไรมาเล่นมาเล่าต่อเท่านั้น ซึ่งในระยะเวลาที่ดูซีซันแรกมายอมรับว่าบางอย่างที่ดูออกมาไม่เนี้ยบในเรื่องของฉากและสถานที่ แต่ในส่วนของเนื้อหาสารภาพตรงนี้ว่าการดูยาวๆรวดเดียวมีผลให้ดูเพลินจนลืมเวลาแล้วสิ่งที่ตามมาคือลืมสังเกตข้อบกพร่องใดในส่วนของบทไปซึ่งก็มีบางช่วงที่ดูเนือยหรือพลังตกแต่ไม่ถึงกับหลุดจนน่าเบื่อ รวมๆแล้วเป็นซีซันแรกที่จบลงตัวและสนุกเกินคาดดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5,6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram tvn_drama อ่านบทความละคเกาหลีแนวย้อนยุคโดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Mr.Sunshine : สุภาพบุรุษตะวันฉาย (2018) งานระดับมาสเตอร์พีซ ที่คำว่า "ยอดเยี่ยม" คงยังไม่พอรีวิวจัดเต็ม Mr.Queen (2021) หน้าขบขัน หลังเข้มข้น อาจไม่ดุเดือดแต่พอดี๊พอดีแบบมี "เดอะแบก"ความเห็นหลังชม Dong Yi Jewel in the Crown : ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ (2010) ละเอียดละเมียดตามยุคสมัย ที่คู่ควรกับคำว่า "ตำนาน"รีวิวจัดเต็ม The Nokdu Flower : ดอกไม้แห่งแดนดิน (2019) "ความข้มข้นระดับสูงส่ง กับเรื่องของคนตัวเล็กที่อยากเปลี่ยนโลก"รีวิวจัดเต็ม Live Up to Your Name คุณหมอสองภพ (2017) "แฟนตาซีข้ามภพที่ดูสนุกเบาสมอง แต่ดราม่าก็มาเต็มกับการค้นพบตนเอง"ความเห็นหลังชม Empress Ki กีซึงนัง จอมนางสองแผ่นดิน (2014) ดึงดูดสายตา สะกดอารมณ์ เข้มข้นพลิกผัน หนึ่งงานที่ "ทรงคุณค่า"รีวิวจัดเต็ม Bloody Heart (2022) "เข้มข้น ดุเดือด เชือดเฉือน เหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิม"ความเห็นหลังชม Under the Queen's Umbrella ใต้ร่มราชินี (2022) "ย้อนยุคแต่มีความหมายร่วมสมัย เข้มข้นเชือดเฉือนจนหยดสุดท้าย"เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!