Series Full ReviewReflection Of You : ดั่งภาพสะท้อน (2021)ความเหนือชั้นที่ดูสดใหม่ สร้างทางแยกให้สมองและหัวใจดั่งงานศิลปะชั้นเยี่ยมที่ต้องมองให้เข้าใจและตีความสารภาพเลยว่าดูไปบ่นไปไม่ได้ชอบงานแนวนี้สักเท่าไหร่กับแนวชิงรักหักสวาทการตามล้างตามเช็ดกันด้วยเรื่องแนวนี้ที่ถ้าดูก็มักจะดูนักแสดงมากกว่า ผิดกับคุณแม่บ้านที่ชมชอบแนวนี้เป็นพิเศษและเรื่องนี้เมื่อตอนออกอากาศสดที่เริ่มสตีมตอนแรกๆ (ตอนนั้น) ก็จะเป็นเรื่องปกติที่คุณแม่บ้านจะดูสด แต่ผู้เขียนจะดูอย่างอื่นก่อนแล้วค่อยมาดูเมื่อจบครบทุกตอนจึงค่อยมาดูแบบยาวๆ แต่นั่นกลายเป็นว่าบ้านที่อยู่กันเพียงสองคนกลับพยายามเลี่ยงที่จะคุยกันเพราะคนที่ดูจบ (เป็นตอนๆ) ก็อยากแลกเปลี่ยนมุมมองและชวนคุย ส่วนผู้เขียนที่ยังไม่ได้ดูก็พยายามเลี่ยงเพราะกลัวโดนสปอยล์ แต่กระนั้นเรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะบ่นยาวๆถึงในบทความนี้คือได้สร้างความประทับใจและสร้างปรากฎการณ์ที่คุณแม่บ้านติดงอมแงมตอนนางดูสดและผู้เขียนเองเมื่อได้เริ่มดูจริงจังก็จบได้ภายในสี่วันเรียกว่าพลังงานและแรงดึงดูดสูงมาก และยังเป็นการยืนยันถึงความเจนจัดของนักเขียนบทละครจากทางเกาหลีที่สามารถเล่าเรื่องที่ไม่ได้ใหม่อะไรเลยให้ดูสดใหม่ด้วยชั้นเชิงที่เหนือ ทำให้เมื่อได้ดูก็รู้สึกถึงความสดใหม่ในเรื่องที่เล่าและยังกล้าท้าทายมโนสำนึกในใจคนดูที่มีทางแยกแต่ก็เด็ดขาด แล้วด้วยงานด้านบทแบบนี้ก็ทำให้งานที่ผู้เขียนตั้งใจเพื่อมาดูนักแสดงที่ไม่ค่อยมีงานให้ดูมากอย่างโกฮยอนจอง ที่ได้ติดใจฝีมือการแสดงของเธอมาจาก Dear My Friends (2016) กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้เขียนประทับใจสุดๆ กลายมาเป็นงานที่อาจไม่ใช่แนวที่ชอบแต่สร้างความประทับใจในชั้นเชิงและทางแยกที่บทและเนื้อหาสร้างให้สมองและหัวใจคนดูตัดสินใจเลือก Reflection Of Youเรื่องย่อจองฮีจู (โกฮยอนจอง) คือแม่บ้านและศิลปินผู้ประสบความสำเร็จแทบทุกทาง เธอมีครอบครัวที่เพียบพร้อมมีสามีที่รักและให้เกียร์ติอย่างอันฮยอนซอง (ชเววอนยอง) มีลูกสาวหนึ่งคนคือลิซ่า (คิมซูอัน จาก Train To Busan) ลูกชายหนึ่งคนคือโฮซู (คิมดองฮา) เพียงแต่การที่เธอต้องทนอยู่กับแม่สามีหัวโบราณที่ตีกรอบทางความคิดในแบบศิลปินอย่างเธอเต็มที่และการที่ลิซ่าลูกสาวเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นที่เริ่มต่อต้านเท่านั้นที่เป็นจุดด่าง จนวันหนึ่งจองฮีจูได้รับข่าวว่าลิซ่าถูกครูสอนศิลปะทำร้ายจนบาดเจ็บจองฮีจูจึงได้พบกับกูแฮวอน (ชินฮยอนบิน) และด้วยความเป็นแม่จองฮีจูจึงบันดาลโทษะกับกูแฮวอน แล้วหลังจากนั้นก็เหมือนกับกูแฮวอนจงใจมาวนเวียนตามติดชีวิตของจองฮีจูอยู่เรื่อย แล้วเรื่องก็เผยว่าแท้จริงแล้วจองฮีจูกับกูแฮวอนเคยเป็นคนที่รักและสนิทกันมาก่อนผ่านการสอนศิลปะแต่ความหมางใจมาเกิดขึ้นเมื่อการเข้ามาของซออูแจ (คิมแจยอง) ที่กูแฮวอนแต่งงานด้วยวัตถุประสงค์เพื่อขอวีซ่าไปเรียนต่างประเทศ แต่ก็ไม่ชัดที่จะมองเห็นว่าซออูแจมีใจให้กูแฮวอนอย่างที่กูแฮวอนคิด แล้วด้วยความใกล้ชิดในคราวหนึ่งระหว่างซออูแจกับจองฮีจูหัวใจก็พาอารมณ์เตลิดไปจนก้าวข้ามพรหมแดนศีลธรรม และทั้งคู่ก็หายหน้าไปจากชีวิตกูแฮวอนทำให้กูแฮวอนต้องระทมทุกข์เพียงลำพังและผูกใจเจ็บ แต่แล้วด้วยการพบกันอีกครั้งครานี้ความหลังในอดีตจึงตามมาทันจองฮีจูที่พยายามกลบฝังอดีตเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทางที่ควร แต่กูแฮวอนกลับมองว่าจองฮีจูคือคนที่ทำลายชีวิตตนเองและต้องทำลายชีวิตจองฮีจูให้ย่อยยับในทุกวิถีทางโดยไม่สนว่าจะถูกต้องหรือไม่ ทว่าเมื่อความจริงเริ่มกระจ่างสิ่งที่กูแฮวอนตั้งใจให้มาทำร้ายจองฮีจูให้เจ็บก็ได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างสาหัสไม่ต่างกัน เหนือไปอีกขั้นเมื่อเรื่องชิงรักหักสวาทถูกเสนอในทางจิตวิทยาหรือการคุกคามดั่งฆาตกรโรคจิตเรื่องของการตามล่าล้างแค้นในเชิงชิงรักหักสวาทแบบนี้อาจไม่ใช่แนวที่ผู้เขียนชอบแต่ก็ดูได้ถ้ามีนักแสดงที่ดึงดูดใจ แต่เท่าที่ผ่านตามาเรื่องประมาณนี้จะมีความเข้มข้นในตัวเองอยู่แล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้ได้ยกระดับให้เหนือไปอีกขั้นเมื่อใส่ความกดดันเข้ามาเต็มที่จนทำให้รู้สึกว่าไม่ต่างจากการดูงานซีรีส์แนวฆาตกรโรคจิตที่ตามติดชีวิตเหยื่อเพื่อที่จะสังหารให้ตายตามแนว เพียงแต่การสังหารครั้งนี้ไม่ได้ให้ตายตกไปตามกันแต่กลายเป็นความตั้งใจให้ตายทั้งเป็นและทุกข์ระทมชีวิตล่มสลายเหมือนที่ตนเองเป็น ซึ่งมองเห็นการคุกคามที่น่าอึดอัดและขนลุกเป็นบางคราวไม่ต่างจากหนังแนวจิตวิทยา แล้วด้วยการเรื่องที่พิษรักแรงแค้นที่เป็นแรงผลักดันผสมผสานกับเรื่องของบริบททางสังคมที่ว่ากันที่กรอบชีวิต ชุดความคิดของแนวแม่ผัวลูกสะใภ้ เรื่องของทัศนคติการกดขี่ทางเพศและความรุนแรงในครอบครัวกระทั่งความรักที่ทำให้คนมืดบอดโดยที่ไม่ยอมรับความจริง มุมมองของสัจธรรมชีวิต ความผิดพลาดกับการให้อภัยและสันดานดิบที่เป็นมิติปฐมภูมิของมนุษย์ ทุกสิ่งอย่างคือความลงตัวและเกื้อหนุนส่งเสริมกันทำให้เรื่องออกมาอย่างสุดเข้มแต่กลมกล่อม พร้อมปมปริศนาที่ชวนให้คิดและคาดเดาและทุกอย่างก็มีเหตุและผลในตัว แต่ที่เยี่ยมคือเรื่องของความรู้สึกสดใหม่ในเรื่องเดิมๆเมื่อคนเขียนบทรู้ธรรมชาติมนุษย์ว่ามนุษย์มักเอาความคิดของตนเองมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินภาพสะท้อนที่เห็น จึงกล้าวางตัวละครหลักสองคนให้เหมือนเป็นภาพสะท้อนในกระจกใสที่มองเห็นเงาของตนทาบทับอยู่กับอีกฝ่ายที่อยู่อีกด้านของกระจก และให้คนดูตัดสินเองว่าจะเลือกวางโฟกัสสายตาไปที่ภาพสะท้อนหรือภาพอีกด้าน ซึ่งแม้จะเป็นเช่นนั้นด้วยธรรมชาติของมนุษย์ก็จะตัดสินชัดไปทางใดทางหนึ่ง นั่นคือคนดูจะมองใครว่าเป็นเหยื่อก็แล้วแต่ทัศนคติและประสบการณ์ชีวิตของคนดูแต่ละคนเป็นที่ตั้งคือแม้จะมีทางแยกแต่สมองจะสั่งให้เลือกข้าง และมันจะต่างกันออกไปไม่มีทางอยู่ตรงกลางเพราะทั้งสองคนไม่ใช่คนที่ถูกแต่ผิดกันทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าจะมองให้ลึกไปอีกคือบทพยายามว่ากันถึงเรื่องของการปล่อยวางหรือการให้อภัยเพื่อหลุดพ้นจากวังวนแห่งความเจ็บปวดอยู่เสมอ เพียงแต่ความเป็นมนุษย์อีกเช่นกันที่ไม่สามารถทำใจได้ให้อยู่ตรงกลางจนกระทั่งถึงบทสรุปที่ต่างฝ่ายก็ต่างเป็นแผลและเจ็บปวดแล้วมันได้อะไรขึ้นมาซึ่งก็คือการสรุปที่ลงตัว ทว่าน่าเสียดายที่ห้านาทีสุดท้ายกลายเป็นพลังลดเมื่อเหมือนกลัวจะไม่สมบูรณ์ในวาระสุดท้ายของคนสองคน เลยใส่ตอนสุดท้ายในท้ายที่สุดที่ดูแล้วไม่น่าใส่มาแต่ถ้าให้จบลงที่จองฮีจูได้พบกับคำว่าหลุดพ้นจากวังวนแบบนั้นจะดูลงตัวกว่าในเชิงความคิดและการตีความตามหัวใจของตนมาทั้งเรื่องน่าจะดีกว่า"ย่อหน้านี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญและเป็นความเห็นส่วนตัวผู้เขียนในฐานะมนุษย์"ภาพสะท้อนมีไว้เพื่อมองดูริ้วรอยของตัวเองหรือไม่?ในความยอดเยี่ยมของบทละครที่ขีดเส้นแบ่งไว้หนาๆให้คนดูได้รู้สึกและมีความคิดเชื่อมโยงกับตัวละครจองฮีจูและกูแฮวอนโดยที่มีปัจจัยตรงกลางคือซออูแจ และโดยธรรมชาติมนุษย์ที่มิติทางอารมณ์ถูกสมองสั่งการมาไม่มีทางที่จะไม่เลือกข้าง ทั้งที่บทพยายามเผยให้เห็นทางเลือกคือทางเดินที่อยู่ตรงกลางอยู่เรื่อยๆที่เป็นภาพสะท้อนของตัวละครกูแฮวอนผ่านตัวละครเถ้าแก่ร้านเหล้าที่เคยผิดพลาดเช่นเดียวกับที่กูแฮวอนกำลังจะเดินถลำเข้าไป หรือประเด็นทางศาสนาเรื่องของการสารภาพบาปที่เห็นอย่างชัดว่าแม้พระเจ้าจะให้อภัยแต่มนุษย์เองอาจไม่เพราะมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้าที่จะสามารถปลงทุกอย่างวางทุกสิ่งลงทิ้งไว้อยู่เบื้องหลัง แต่พระเจ้าก็อาจไม่เคยย่อท้อที่จะบอกกับมนุษย์ตรงจุดนี้ดังเช่นจองฮีจูที่พยายามกลบฝังอดีตที่ผิดพลาดเมื่อสามีที่ยังรักและให้อภัย แต่อดีตก็คืออดีตที่ไม่ว่าจะหลีกหนีหรือพยายามลืมยังไงก็ไม่มีทางที่จะหลีกพ้นเมื่ออดีตตามมาทันในแบบวิญญาณตามติดเพื่อทำลายชีวิตภาพของแก่นแท้ที่บทวางไว้ในมุมมองของผู้เขียนจึงชัดมากขึ้น เมื่อการมองดูกระจกใสแน่นอนว่าจะเห็นเงาของตนเองทับซ้อนอยู่กับภาพที่อยู่ข้างหลังแต่ขึ้นอยู่กับโฟกัสสายตาที่จะเลือกมองภาพอีกด้านหรือเลือกมองเงาของตนเอง อาจบางทีภาพสะท้อนกลับมีความหมายให้ได้มองเงาของตัวเองใช่หรือไม่ ในมุมมองของผู้เขียนจึงเห็นความที่กูแฮวอนเลือกไม่มองภาพสะท้อนของตนเองทั้งที่แท้จริงแล้วทุกอย่างที่ก่อร่างเป็นความแค้นบางทีไม่มีใครทำให้เป็นเช่นนั้นได้ นอกจากตัวเธอเอง เมื่อภาพของความรักที่ซออูแจมีต่อเธอก็ไม่ชัดเจนดูเหมือนไม่ใช่ด้วยซ้ำแต่ถามว่าจองฮีจูผิดจนเกินอภัยต่อกูแฮวอนหรือไม่ก็ยิ่งตอบยากเพราะปัจจัยที่เป็นตัวกลางอย่างซออูแจไม่ชัดเจน แต่ในมุมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วผิดแน่ในเรื่องของการนอกใจเตลิดไปกับภาพตรงหน้าชั่วคราวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็คือผิดแต่จองฮีจูกล้ามองภาพสะท้อนของตนเองแล้วคิดได้จึงกลับสู่ทางที่ควรและไม่น่าจะเป็นไรเพราะครอบครัวก็ยังอ้าแขนรับ แต่กูแฮวอนกลับเลือกไม่มองภาพสะท้อนนั้นแล้วคิดว่าทุกอย่างที่เป็นที่เกิดขึ้นที่สร้างความทุกข์หนักเพราะตนเองถูกทรยศจากคนที่รักแต่เป็นความรักที่ไม่ยอมรับความจริงหรือไม่ แล้วภาพนั้นก็ยิ่งชัดเมื่อความตายของคุณตาที่ตัวเองต้องรับผิดคนเดียวแต่ก็ยังมองหาคนที่จะมาสร้างความชอบธรรมให้กับความแค้นของตนเองแทนที่จะคิดย้อนกลับ จนสุดท้ายผลที่เธอกระทำก็ไม่ได้สร้างความสุขเมื่อตัวเองก็เจ็บไม่น้อยกว่าแล้วจะทำไปเพื่ออะไร บางทีการมองภาพสะท้อนของตนเองแล้วคิดให้ดีว่าเรื่องของคนอื่นคือเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ความรักที่เรามอบให้ใครสักคนได้รับความรักตอบกลับมาหรือไม่หากความจริงไม่เป็นอย่างที่เราคิดการเลือกที่จะสำรวจตัวเอง แล้วปลดมันลงชีวิตอาจจะมีความสุขเพราะภาพสะท้อนก็คือภาพของเราเองหรือไม่ใช่...การแสดงที่เชือดเฉือนกันสุดมันส์เข้มข้นเร้าใจกดดันจนขนลุกความจริงนักแสดงเกาหลีจะมีที่น่าทึ่งมาให้เห็นกันได้เรื่อยๆในเรื่องของการแสดง แม้ว่าจะเป็นงานระดับละครโทรทัศน์ก็ยังคงจัดกันเต็มความสามารถ และสิ่งที่ทำให้พวกเขาและเธอสามารถทำแบบนี้ได้ส่วนหนึ่งคือการรับบทที่หลากหลาย เพราะการได้สวมบทบาทที่หลากหลายมันคือการเพิ่มทักษะและสั่งสมประสบการณ์ส่วนตัว แล้วสำหรับเรื่องนี้แม้จะมีการแสดงที่เข้มข้นกันทุกตัวละครไม่ว่าใครจะออกมาให้เห็นหน้า จนอาจเรียกได้ว่านักแสดงที่ได้มีส่วนร่วมกับซีรีส์เรื่องนี้ทุกบทบาทล้วนมีความน่าจดจำ ด้วยความที่บทเข้มพอที่จะทำให้นักแสดงสามารถฉายศักยภาพของตนเองให้ออกมาอย่างที่บทต้องการได้ แต่เมื่อเรื่องถูกโฟกัสไปที่คนสองคนที่เป็นภาพสะท้อนของกันและกันทุกอย่างจึงถูกกำหนดโดยบทของสองนักแสดงหญิง ที่ยากจะฟันธงลงไปว่าระหว่างบทจองฮีจูของโกฮยอนจองกับบทกูแฮวอนของชินฮยอนบินใครดีกว่าใครเพราะคนเขียนบทได้กำหนดไว้แล้วว่าสองตัวละครจะเป็นตัวกำหนดอารมณ์ร่วมในมุมที่ต่างกัน แต่สำหรับผู้เขียนแล้วบทแบบนี้โกฮยอนจองเล่นได้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจด้วยคาแร็คเตอร์ส่วนตัวของนักแสดงเองที่มีแรงดึงดูดบางอย่างที่เรียกว่าพลังดารา ประกอบกับบทเอื้อให้แสดงออกมาได้อย่างสุดแบบนั้นโกฮยอนจองจึงให้การแสดงที่กำหนดอารมณ์ของผู้ถูกคุกคามที่ถึงเวลาก็ต้องสู้ แล้วก็มีความลับบางอย่างที่ต้องการกลบฝังมีตราบาปที่ต้องการจะลืมทุกอย่างดูดีแต่ก็มองเห็นความสับสนอยู่ข้างใน แต่ที่ต้องทึ่งจนประหลาดใจคือชินฮยอนบินเพราะจากที่เคยเห็นเธอแสดงมาใน Hospital Playlist 1-2 ผู้เขียนยังมองว่าเธอยังขาดพลังดารามาดึงดูด อาจเพราะบทบาทในเรื่องนั้นก็มีส่วน ที่ทำให้เป็นตัวละครที่น่ารักน่าจดจำแต่ก็ไม่ได้มีรังสีแผ่ออกมาแต่พอมาแสดงเป็นกูแฮวอนในเรื่องนี้มองเห็นรังสีอำมหิต แววตาเย็นชาจนน่าขนลุก มีความรักที่มีพื้นฐานความไม่ยอมรับความจริง มองตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลทำให้โฟกัสในหัวใจเลือกที่จะมองทะลุภาพสะท้อนของตัวเองไปจับจ้องภาพของฝั่งตรงข้าม แน่นอนมันนำมาซึ่งความเจ็บปวด สับสน หัวใจสลายไปพร้อมกับคนที่เธอแค้น และมิติเหล่านี้ ถูกถ่ายทอดโดยชินฮยอนบินชนิดที่ถ้าไม่สังเกตดีๆหรือมัวแต่ให้อารมณ์เร้าใจพาไปอาจจำไม่ได้เพราะขนาดคุณแม่บ้านยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือคนคนเดียวกับที่แสดงเรื่องนั้น จึงยืนยันว่านักแสดงชั้นดีถ้าได้บทที่ส่งแล้วตัวนักแสดงเองก็มีความสามารถก็จะทำให้รับผิดชอบบทได้อย่างทรงพลังเช่นเดียวกับสองคนในเรื่องนี้ ที่กำหนดเส้นทางที่คนดูจะเลือกว่าจะเลือกทางไหน แล้วอารมณ์ทั้งสาแก่ใจรันทดปนสงสารหรือจงชังรังเกียจฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดล้วนแล้วแต่มาจากการแสดงของคนสองคนนี้ นี่คืองานที่ตั้งใจมาสร้างทางแยกให้คนดูอย่างชัดเจนที่สุดและคนดูก็ต้องเลือกไปทางใดทางหนึ่งไม่มีทางสายกลาง แม้ว่าแก่นแท้ที่เรื่องต้องการจะสื่อคือการมองเข้าไปด้วยความเป็นกลางและเป็นธรรมจึงจะมองเห็นเหตุแห่งปัญหาด้วยการหลุดพ้นด้วยการปล่อยวาง แต่ถ้ามันเป็นเช่นนั้นก็อาจไม่น่าจดจำเท่านี้เพราะการที่เรื่องนี้น่าประทับใจขนาดนี้ เพราะความยอดเยี่ยมของบทที่เล่นกับอารมณ์เต็มที่ในเงื่อนไขที่ว่าเป็นอารมณ์ที่เลือกแล้วว่าจะเป็นฝ่ายไหน จะตัดสินใครว่าเป็นเหยื่อหรือมองใครว่าเป็นฝ่ายกระทำ แล้วสิ่งที่บทดีมากพอคือการวางตัวละครสองตัวให้ต่างคนต่างผิด แต่แม้จะชัดอย่างนั้นบทก็ยังชี้นำคนดูให้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและสาแก่ในเมื่ออีกฝ่ายต้องเจ็บปวด แถมยังไม่พอยังสร้างอารมณ์ร่วมด้วยการว่ากันที่ความผิดที่เป็นรูปธรรมคือการนอกใจของจองฮีจูกับคนที่เป็นที่รักของคนที่รักตนเองแต่เมื่อมองเข้าไปก็มีเหตุผลของมันส่วนอีกทางคือความผิดที่เป็นนามธรรมคือการมองว่าตนเองเป็นเหยื่อถูกทรยศจนชีวิตล่มสลาย แต่เนื้อในส่วนนี้กลับต้องมองให้ลึกว่าบางทีไม่มีใครทำอะไรเราได้นอกจากตัวเราเองความคิดของเราเองซึ่งต้องมองให้ทะลุ เพราะบทไม่ได้ชี้ให้เห็นเลยว่าซออูแจมีใจให้กูแฮวอนหรือง่ายๆคือกูแฮวอนคิดไปเองและไม่ยอมรับความจริง แต่สันชาตญาณมนุษย์ก็ยากที่จะมองทะลุจุดนี้เข้าไปเพราะทุกคนล้วนแต่มีตนเองเป็นที่ตั้ง สุดท้ายไม่ว่าจะเลือกฝ่ายไหนบทสรุปก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีต่างฝ่ายก็ต้องเจ็บปวดเพราะน้ำกรดที่ราดรดใส่คนอื่นแต่ก็กระเด็นมาลวกมือตัวเองจนกลายเป็นแผลพุพองไม่ต่างกัน แต่การที่แบ่งฝ่ายชัดแบบนี้ก็คือความฉลาดของคนเขียนบทที่สามารถใช้ธรรมชาติมนุษย์ให้เลือกข้างและเอาใจช่วยให้คนตีกันได้ จึงกลายเป็นว่างานแนวชิงรักหักสวาทแบบนี้ถูกเสริมด้วยลูกเล่นที่แพรวพราว ดูสนุก พลังแรงสูงและถ้าตัดเอาตอนท้ายสุดออกไปสักห้านาทีจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้นี่คือคืองานที่ต้องยกให้ถึงระดับคำว่ายอดเยี่ยมดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4 / ภาพที่ 5,6,7 / ภาพที 8,9,10 / ภาพที่ 11,12 จาก Instagram jtbcdrama หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565