หากคุณกำลังหมดหวังในการใช้ชีวิต หรือ ชีวิตกำลังดิ่งลงจุดต่ำสุด และคุณกำลังคิดว่า ชีวิตของคุณนั้นมันแย่ที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว ผมอยากให้คุณรู้จักกับชายผู้ที่ไม่เคยยอมแพ้กับชีวิตผ่านภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้…ถ่ายทอดมาจากเรื่องจริง ของ “คริส การ์ดเนอร์” เรื่องย่อ : “คริส การ์ดเนอร์” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุนซื้อเครื่องมือทางการแพทย์มา เพื่อจัดจำหน่ายให้กับทางโรงพยาบาลและคลินิก ซึ่งเขากับภรรยาคิดผิด! เพราะการลงทุนในครั้งนี้มันไม่ได้เป็นที่ต้องการของทางโรงพยาบาลและคลินิก ซึ่งทำให้ครอบครัวของเขานั้นถังแตก! เพราะเครื่องมือทางการแพทย์ของเขานั้นขายไม่ได้เลยสักเครื่อง อีกทั้งยังมีบิลและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อีกมากมายที่เข้ามา ซึ่งภรรยาของเขายังจะต้องทำงานเพิ่มเป็นสองกะ แต่สุดท้ายภรรยาของเขาก็ทนไม่ไหวต้องขอแยกทางออกไป จนเหลือแต่คริสและลูกชายของเขา ซึ่งในทุก ๆ วันคริสจะหิ้วเครื่องมือการแพทย์ของเขาไปขายในทุก ๆ ที่ที่เขาคิดว่าเขาจะสามารถขายมันได้ แต่มีอยู่วันหนึ่งที่คริสนั้นเดินไปเจอกับชายคนหนึ่งที่กำลังขับรถมาจอด ซึ่งชายคนนั้นใส่สูท ผูกไทด์ และขับรถหรู จนคริสถึงกับต้องเข้าไปถามชายคนนั้นว่า “ผมขอถาม 2 ขอ คุณทำอาชีพอะไรและทำอย่างไร” ชายคนนั้นชี้เข้าไปในตึกที่เขาทำงานและบอกว่า “ผมทำงานเป็นโบรกเกอร์หุ้น” และตั้งแต่วันนั้นเองทำให้ชีวิตของ “คริส การ์ดเนอร์” นั้นเปลี่ยนไปและชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรติดตามต่อได้ใน True ID หรือ Netflix ในเร็ว ๆ นี้ได้ครับ 😊 วันนี้ “ห้องสี่เหลี่ยม” จึงอยากจะมาแบ่งปันแนวคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่อง The Pursuit of Happyness และผมเชื่อว่าถ้าใครมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ในตอนที่กำลังหมดไฟในการทำงาน เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่จะตอบโจทย์ชีวิตของคุณอย่างแน่นอน“วิว สมิธ” รับบทเป็น “คริส การ์ดเนอร์” 1.ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ช่วงเวลาชีวิตหนึ่งของ “คริส การ์ดเนอร์” ที่ถังแตก ไม่มีแม้เงินจะซื้อขนมให้กับลูก หรือ มีบ้านอยู่เหมือนกับใครเขา และต้องแยกทางกับภรรยาของตน ซึ่งเงินของเขาทั้งหมดที่จะเลี้ยงปากท้องเขาได้ก็คือ เครื่องมือแพทย์ที่เขาจะต้องหิ้วไปขายทุกเช้า ซึ่งเขาขายมันไม่ได้เลย ซ้ำยังโดนคนเร่รอนขโมยเครื่องนั่นอีกด้วย สิ่งหนึ่งตลอดทั้งเรื่องผมไม่ได้ยินคำว่า “ผมยอมแพ้” แม้แต่สักคำเดียวจากปากชายคนนี้!2.ใช้ความรักให้เป็นพลัง “คริส การ์ดเนอร์” ไม่เคยต่อว่าลูกชายของตนแม้แต่นิดเดียว และไม่ได้มองว่าลูกชายของเขาเป็นภาระ สิ่งหนึ่งที่ “คริส การ์ดเนอร์” คิดอย่างเดียวนั่นก็คือ “หาทางออก” ทำยังไงก็ได้ให้ลูกได้อยู่สบาย มีเตียงนอนที่สบาย มีอาหารและขนมอร่อย ๆ ให้กิน3.ลงมือทำแม้ในตอนที่ยังไม่พร้อม “คริส การ์ดเนอร์” มีโอกาสที่จะเข้าไปสอบเพื่อเป็น นายหน้าขายหุ้น ซึ่งในตอนนั้นเองปัญหาและอุปสรรคกำลังถาโถมมา เขาวิ่งตามคนเร่รอนที่ขโมยเครื่องมือแพทย์ของเขาไปและโดนรถชน จนรองเท้าเขาหายไปข้างหนึ่ง ซึ่งเขาเองไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อรองเท้าใหม่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาก็ยังคนทำในสิ่งที่เขาต้องการนั่นก็คือ การเป็น นายหน้าขายหุ้น และยังคงขายเครื่องมือแพทย์ที่เหลือทั้งหมด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของตนและลูก แต่ด้วยความตั้งใจและความพยายามของ “คริส การ์ดเนอร์” เขาก็อ่านหนังสือ แม้สถานการณ์และสถานที่ที่เขาอยู่นั้นมันไม่เอื้อเอาซะเลย สุดท้ายสิ่งที่ “คริส การ์ดเนอร์” ตั้งใจและพยายามก็มาถึง…4.ไม่ยอมให้ใครมาตัดสิน มีฉากหนึ่งที่ “คริส การ์ดเนอร์” เล่นบาสเก็ตบอลกับลูกชายของเขาโดยแกล้งพูดดูถูกลูกชายของเขาว่า “ไม่อยากให้ลูกเล่นบาสเก็ตบอลตลอดทั้งวันทั้งคืน” ซึ่งลูกชายของเขาก็หน้าหงอยไปเลยครับ และ “คริส การ์ดเนอร์” ก็เข้ามาปลอบและบอกลูกชายว่า “อย่าให้ใครหน้าไหนแม้แต่พ่อมาบอกว่าลูกทำนั่นทำนี่ไม่ได้ เข้าใจไหม?” ซึ่งสิ่งที่ “คริส การ์ดเนอร์” พูดสอนลูกชายของเขานั้น เขาก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้าคุณมีโอกาสได้ดูหรือเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว และกำลังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมายที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตแบบไม่ได้ตั้งตัวจนยืนขึ้นไม่ได้ ผมอยากจะให้คุณลองต่อสู้กับมันแบบ “คริส การ์ดเนอร์” เพราะสิ่งที่คุณกำลังต่อสู้นั้นไม่ใช้มาร หรือ ปีศาจ แต่เป็นความอ่อนแอในใจของคุณเอง ถ้าคุณต่อสู้มันและผ่านไปได้อย่างมีสติและปัญญา ความสำเร็จมันจะอยู่ตรงหน้าของคุณเหมือนพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแน่นอน…ติดตามผลงานอื่น ๆ ได้ที่ : ห้องสี่เหลี่ยมPhoto by : (Cover) IMDB , Movieclips Classic Trailers (รูปภาพ 1-4 เป็นส่วนหนึ่งจาก Trailer)