หากใครยังพอจำชื่อ Jimmy Savile (จิมมี่ ซาวิล) หรือ เซอร์ เจมส์ วิลสัน วินเซนต์ ซาวิล ผู้เป็นทั้งดีเจ, พิธีกร ถือเป็นบุคคลากรทางสื่อระดับตำนานของวงการสื่อสารมวลชนอังกฤษ และเป็นตัวตั้งตัวตีในการเรี่ยไรเงินเพื่อการกุศลมากมายรวมแล้วสามารถหาเงินได้ถึงร่วม 40 ล้านปอนด์ ผู้โด่งดังที่สุดของอังกฤษในช่วง 80's กับรายการสุดฮิตอย่าง Top of the Pops รายการเพลงวัยรุ่นสุดป็อบ ที่โด่งดังมากจนกลายเป็นตำนานรับประกันด้วยจำนวน 1000 Episode เลยทีเดียว และรายการ Jim’ll Fix It ที่เรียกได้ว่าสานความฝันและสร้างกำลังใจให้เด็กๆในช่วงนั้นเป็นอย่างมากซึ่งจิมมี่ ซาวิลก็ได้กลายเป็นบุคคลสาธารณะที่ได้รับความรักและการยอมรับจากคนอังกฤษเกือบทั้งประเทศ จนเกิดข่าวสุดอื้อฉาวผ่านการรายงานข่าวจากสำนักงานข่าวมากมาย รวมถึงสำนักงานข่าว THE SUN ที่ว่าด้วยเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศของจิมมี่ ซาวิล กับเหยื่อที่มากถึงเกือบ 400 คนที่เกิดขึ้นในระยะเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955 - 2009 ซึ่งสารคดีชุดนี้ก็ได้ Rowan Deacon มาเป็นผู้กำกับด้วย โดยโรวานมีความสามารถและถนัดในการถ่ายถอดเรื่องราวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ผ่านงานการกำกับและดูแลสารคดีมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น The Case of Sally Challen, The Tube, Tulisa: My Mum and Me, Fix My Fat Head และ Sex, Lies & Soaps เป็นต้นเรื่องย่อในสารคดีชุดนี้จะพาไปเจาะลึกทั้งด้านดีและด้านมืดของจิมมี่ ซาวิลแบบเข้มข้นสุดๆ ว่าด้วยเรื่องจริงของ Jimmy Savile โดยเริ่มตั้งแต่ชีวประวัติการเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง กับบทบาทการเป็นพิธีกรและดีเจ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและราชวงศ์ รวมทั้งการไปถึงในจุดที่กลายไปเป็นที่รักของประชาชน จนกระทั่งเกิดข่าวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศขึ้นมา ซึ่งเหยื่อส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิง ทำให้เกิดการตรวจสอบและสืบหาหลักฐานกันอย่างหนัก ผ่านการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อให้ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยการดำเนินเรื่องเป็นสารคดีที่ประกอบไปด้วยจำนวน 2 Episode โดยแบ่งตอนละ 1 ชั่วโมงกว่า ค่อนข้างนานสำหรับสารคดีชุดนี้ ในอีพีแรกจะเริ่มต้นด้วยการปูเนื้อเรื่องพาเราไปทำความรู้จักกับจิมมี่ ซาวิล ค่อยๆเรียนรู้ไปว่าจิมมี่ทำอะไร มีบทบาทอะไรในสังคมอังกฤษตอนนั้นบ้าง ส่วนตัวไม่ได้รู้จักจิมมี่ ซาวิลมาก่อน ไม่เคยได้ยินชื่อ เกิดไม่ทันข่าวในช่วงนั้นเลย แต่สารคดีนี้ก็สามารถพาเราไปเรียนรู้และรู้จักจิมมี่ได้อย่างสนุกสนาน แม้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุค 80 แต่สามารถนำเสนอด้วยฟุตเทจได้อย่างราบรื่นและค่อนข้างชัดมากเลยทีเดียว ถือว่าเก็บฟุตเทจมาได้คุณภาพมากๆ ตัวสารคดีเองเรียบเรียงและลำดับเรื่องราวมาได้เป็นอย่างดี หาข้อมูลมาอย่างหนักและทำการบ้านกับการสัมภาษณ์มาค่อนข้างมาก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงประเด็น ด้วยความที่มันเป็นสารคดีก็อาจจะน่าเบื่อไปบ้างสำหรับใครที่ไม่ถนัดแนวสารคดี แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องราวที่สร้างบาดแผลในใจให้แก่ผู้คน และสร้างความทรงจำที่ปวดร้าวให้แก่ชาวอังกฤษ ความล้มเหลวและความเจ็บปวดเหล่านี้อาจจะไม่ได้สร้างมาเพื่อสร้างความบันเทิงแต่นี่จะเป็นบทเรียนที่สำคัญให้แก่ผู้ชมได้อย่างแน่นอนเจ้าเล่ห์น่ะใช่ ผมน่ะเจ้าเล่ห์มาก ถ้าคุณฉลาดย่อมทำพลาดได้เพราะคุณฉลาด แต่ถ้าคุณเจ้าเล่ห์ คุณไม่มีวันพลาดสิ่งที่มันแฝงมาในเรื่องมันมีหลายมิติมาก ทั้งในแง่ของสังคม การเมือง ความรุนแรง และหน้าที่ของสื่อ มันสะท้อนอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนั้นของประเทศอังกฤษได้เป็นอย่างดี และเมื่อมองลึกๆลงไปก็สะท้อนกลับมายังประเทศไทยของเราด้วยเช่นกัน ในแง่ของสื่อและสังคมว่าหน้าที่และบทบาทที่สำคัญคืออะไร จุดยืนและบทบาทควรจะอยู่ตรงไหน การที่สื่อให้ความสำคัญกับบุคคลมากเกินไปก็เกิดเป็นผลเสียมากมายตามมา อย่างที่เราเห็นกันในข่าวที่ผ่านมา สรุปสารคดีเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานของ Netflix ที่ควรค่าแก่การได้รับชมมากๆ นี่คือบทเรียนที่เกิดจากเรื่องจริง ที่จะสะท้อนและถ่ายทอดอะไรหลายๆอย่างให้แก่ผู้ชม จิมมี่ ซาวิลจากบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน จากรัฐ และจากราชวงศ์ เขาไปถึงจุดที่ผู้คนพร้อมสาปแช่งและกลายมาเป็นบาดแผลให้แก่ทุกคนได้อย่างไร ต้องไปติดตามดูใน Jimmy Savile: A British Horror Story และหากสนใจอยากดูแนวสารคดีอีกขอแนะนำสารคดีคุณภาพอีกหนึ่งเรื่อง รีวิวสารคดีมหากาพย์ชีวิต Britney vs Spears กับการทวงคืนอิสรภาพ 13 ปีhttps://www.youtube.com/watch?v=JV8khm4s9j4ขอบคุณวิดีโอJimmy Savile: A British Horror Story | Official Trailer จาก Netflix ขอบคุณภาพปก จาก @RowanDeacon และภาพประกอบ 1 จาก @72_films / ภาพประกอบ 2 : Plato Terentev และ 3 : Mike จาก pexelsจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !