รีเซต

[รีวิวหนัง] "สเต็ปกล้าท้าฝัน One and Only" คู่โค้ชนักเต้นเคมีดีลีลาสะบัด งานภาพตรึงตาฟีลกู๊ดเหนือคาด

[รีวิวหนัง] "สเต็ปกล้าท้าฝัน One and Only" คู่โค้ชนักเต้นเคมีดีลีลาสะบัด งานภาพตรึงตาฟีลกู๊ดเหนือคาด
แบไต๋
9 สิงหาคม 2566 ( 15:00 )
1.1K

นอกจากกระแสความตื่นเต้นที่นักแสดงนำอย่าง หวังอี้ป๋อ มาเดินสายโปรโมตหนังถึงเมืองไทยเป็นที่แรกนอกประเทศแล้ว ตัวภาพยนตร์เรื่อง “สเต็ปกล้าท้าฝัน One and Only” เองก็ยังเป็นที่รอคอยของบรรดาแฟนคลับเป็นอย่างมาก เพราะ ผู้กำกับ ต้าเผิง ได้ประกาศแต่แรกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากตัวตนของหวังอี้ป๋อเอง จึงไม่แปลกที่รอบพิเศษ Gala Overseas Premiere เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา คนจะแน่นเต็มโรง กระทั่งคนที่ไม่ได้ตั๋วก็ยังมาเฝ้านักร้องนักเต้นคนเก่งกันหน้าโรงอย่างคับคั่งแล้ว

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะแรงดีได้อย่างบารมีนักแสดงนำหรือเปล่า ก็ต้องลองถอดจิตที่เปี่ยมด้วยความติ่ง มารีวิวกันสักหน่อยแล้วละ

จุดเริ่มต้นสู่ฝั่งฝัน

“สเต็ปกล้าท้าฝัน One and Only” เป็นภาพยนตร์จีนเล่าเรื่องราวของเฉินซั่ว (รับบทโดย หวังอี้ป๋อ) ผู้ที่รัก “การเต้นสตรีทแดนซ์” เป็นชีวิตจิตใจแต่ทำได้เพียงฝึกด้วยตัวเองในยามว่างซึ่งแทบจะไม่มีอยู่ในชีวิตที่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน จะเอามาหากินก็ใช้ในการแสดงแลกเงินเล็กน้อยเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับติงเหลย (รับบทโดย หวงป๋อ) โค้ชของทีมเอ็กซ์คลาเมชันพอยท์ (E-mark) ทีมระดับแชมป์ที่เขาใฝ่ฝัน นอกจากการฝึกเต้น เขายังได้รู้จักกับเพื่อนร่วมทีมที่มีประกายไฟฝันที่แตกต่างกัน ทว่าหนทางสู่ความฝันไม่ได้เรียบง่าย เขาถูกโจมตีอย่างหนัก และต้องเข้าไปสู่สถานการณ์ที่อาจดับฝันทั้งหมด เขาและติงเหลย จะข้ามผ่านพ้นช่วงตกต่ำและก้าวเดินไปคว้าฝันต่อไปได้หรือไม่



จากพล็อตแล้ว จะเห็นว่าเนื้อเรื่องหลักไม่ได้โดดเด่นฉีกหนีจากภาพยนตร์เต้นไล่ตามความฝันสักเท่าไหร่ แต่ในรายละเอียดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำพาให้ตัวเอกได้พานพบก็มีความน่าสนใจและเข้าสไตล์จีนแบบไม่ขัดเขิน ทำให้โดยภาพรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่า สนุก ดูเพลินจนลืมเวลา และว้าวกว่าที่คาดไปพอสมควรเลยแหละ

ความว้าวที่ว่านั้น เริ่มมาตั้งแต่ฉากเปิดสุดอลังที่มาพร้อมกับลองชอตอันน่าทึ่ง เมื่อผสานกับการใส่ข้อมูลด้วยบทพูดแบบเต็มแมกซ์ชนิดเร็วรัวไม่แพ้ลีลาการเต้นที่เด็ดดวง งานภาพตื่นตาแต่เริ่ม ก็ทำให้เราต่อติดเรื่องได้เร็วสุด ๆ ชนิดไม่มีช่วงเหลือ ๆ ให้หายใจกันเลย

แต่ในความว้าวของความเร็วในการเล่านี้ ก็ทำให้มีข้อเสียเกิดขึ้นนิดหน่อย อย่างในช่วงเปิดเรื่อง จังหวะการเล่าสไตล์ไปให้เร็วแบบฉบับภาพยนตร์จีน โดยเฉพาะบทพูดในตอนแรกที่อ่านแทบไม่ทัน ก็สร้างความลำบากให้แก่คนดูต่างสัญชาติอย่างเราไปสักหน่อย การเล่าบางอย่างยังไม่ข้ามพ้นความต่างของวัฒนธรรม ทำให้เกิดภาวะความเข้าใจสะดุด ๆ กันไปบ้าง แต่ยังดีที่ไม่ส่งผลต่อการเล่าเรื่องสักเท่าไหร่ เนื่องจากการเดินเรื่อง การต่อบท รวมทั้งเชื่อมภาพ ยังทำได้ดีต่อติดชวนให้ติดตาม มีประสิทธิภาพเอาคนดูอยู่

จากนักเต้นขั้นเทพ “หวังอี้ป๋อ” สู่ นักเต้นชะตาอาภัพ “เฉินซั่ว”

เมื่อเข้าสู่กลางเรื่อง ในฐานะตัวละครหลัก เฉินซั่วอาจดูนิ่งเนิบและบางเบาไปสักหน่อย เมื่อเทียบกับตัวละครตัวอื่น ๆ แต่เมื่อผสานการวางหมากตัวละครที่อยากให้ดูไม่ค่อยมีตัวตนค่อย ๆ ฉายแสง และคาแรกเตอร์ที่ถอดออกมาจากหวังอี้ป๋อ มันกลับดูกำลังพอดี และช่วยส่งพลังในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเฉินซั่วได้ 

ในขณะเดียวกัน หากใครเป็นแฟนคลับหวังอี้ป๋อ ก็จะยิ่งรู้สึกอินและเข้าใจในความทุ่มเทขึ้นไปอีก หากดูจากจุดเริ่มของบทที่ถอดมาจากบุคลิกของหวังอี้ป๋อและผลงานในรายการเต้น The Street Dance of China (SDC) ซึ่งหวังอี้ป๋อได้ไปวาดลวดลายฝากฝีมือไว้แล้วละก็ ก็ถือได้ว่า หนังเรื่องนี้เก็บอารมณ์ ความรู้สึก มาถ่ายทอดขมวดความเป็นนักเต้นของหวังอี้ป๋อได้ดีเลยทีเดียว แฟนคลับต้องมีช่วงน้ำตาซึมตามกันบ้างละ

(ซ้าย) โปสเตอร์โปรโมต รายการเต้น The Street Dance of China (SDC) ซึ่งหวังอี้ป๋อไปร่วมแจม และ (ขวา) หวังอี้ป๋อในบทบาทเฉินซั่ว

แต่หากพูดในแง่การแสดง คะแนนการแสดงของหวังอี้ป๋อในเรื่องนี้น่าจะเทไปตรงฉากไคลแมกซ์ ที่ต้องใช้อารมณ์จัดมากกว่า ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ที่เทไปนั้นก็เพราะมีโอกาสโชว์น้อยไปสักหน่อย เพราะตรงอื่นดูไม่ต้องแสดงเท่าไหร่ เนื่องจากดูเป็นตัวเองเอามาก ๆ (555) มีความคล้ายตัวจริงสูง แต่นั่นก็น่าจะเป็นข้อดี เพราะดูยังไงก็ไม่ขัดเลย และอาจทำให้เจ้าตัวโฟกัสกับการเต้นในเรื่อง (ซึ่งดูจากมุมกล้องและความทรงพลังของท่าแล้ว น่าจะต้องถ่ายหลายเทคมาก ๆ) ได้เต็มที่ด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนังที่เสริมบารมีหวังอี้ป๋อเลยแหละ


สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักหวังอี้ป๋อ หากดูเรื่องนี้ ก็อาจจะรู้สึกว่า ความสามารถของเฉินซั่ว อาจดูอภินิหารไปสักหน่อย คนอะไรจะเก่งเร็วขนาดนี้ แต่ใด ๆ หากวัดตามสไลต์จีนแล้วก็ไม่ถึงกับเว่อร์จนดูไม่ได้ และด้วยความเก่งนิ่งลึกที่มาจากทั้งพรสวรรค์พรแสวงนี่เอง ก็มีส่วนช่วยทำให้คนอินตาม และเปิดช่องให้เรื่องมีจังหวะตบมุก ดูสนุกขึ้นอีกในบางมุมเหมือนกันนะ

ผนึกกำลังทีมนักเต้นนักแสดง

นอกจากเฉินซั่วแล้ว นักแสดงผู้รับบทติงเหลยก็ทำได้ดีมาก ๆ ถือเป็นคาแรกเตอร์ที่มีมิติมาก ๆ บางมุมก็ดูน่าหมั่นไส้ แต่ด้วยการแสดงและการวางจังหวะบท ก็ทำให้เราเข้าอกเข้าใจและเกลียดไม่ลงเลย แถมยังช่วยเสริมให้เราอยากจะเอาใจช่วยทั้งคู่ เรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์คู่คี่เฉินซั่วแบบที่โปรโมตในทริลเลอร์เลยจริง ๆ


สำหรับนักแสดงคนอื่น ๆ แม้ว่าจะโผล่มาน้อย มาไวไปเร็วมาก ๆ (โผล่มาแบบจำชื่อตัวละครไม่ได้สักคน 555) แต่ด้วยจังหวะการเล่าที่คม ก็ทำให้ไม่ได้ดูจืดจางจนเกินไป ทั้งยังช่วยเสริมให้เห็นถึงความเป็นทีมและมิตรภาพได้ชัดเจน หรืออย่างบทแม่ที่ดูผิวมาก แต่พอขมวดฉากก็เล่นเอาซึ้งเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใช้เวลาและภาพได้คุ้มสุด ๆ ไม่มีเหลือจังหวะเรื่อยเปื่อยเลย ส่วนนางเอกแม้จะเบาบางมาก แต่ก็น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาแฟนคลับแหละ อีกอย่าง นี่ไม่ใช่หนังรัก มีแค่พอให้รู้สึกอิ๊อ๊ะอย่างที่เป็นก็ดูจะเหมาะสมแล้ว 

แต่ในข้อดีย่อมมีข้อเสีย การเล่าเร็วทำให้เรื่องไม่ยืดยาดมัดใจสายชอบเดินเรื่องเร็ว ๆ ไว ๆ ก็จริง แต่ช่วงจังหวะที่ควรจะซึ้งให้สุดทาง คนดูก็ไม่ทันจะน้ำตาซึมและทิ้งอารมณ์ให้หน่วงเท่าไหร่ การเล่าก็ขยับไปประเด็นอื่นต่อเสียแล้ว หากมีสเปซพักในจังหวะเหล่านี้อีกนิดพลังของหนังคงยิ่งทรงพลังกว่านี้แน่ ๆ 

เทคนิคการถ่าย ตัวช่วยขยายการเต้นให้ปังขั้นสุด

และเพราะเป็นภาพยนตร์เต้น เราจะหนีการพูดถึงเรื่องดนตรีและการเต้นไปก็กระไรอยู่ สำหรับการเต้นคือหายห่วงสุด ๆ นอกจากหวังอี้ป๋อที่ขึ้นชื่อว่าเทพอยู่แล้ว ท่าที่เลือกมาปิดเรื่องก็เรียกได้สมศักดิ์ศรีน่าทึ่งจริง ๆ นักแสดงคนอื่น ๆ ก็เป็นระดับรวมดาว เต้นไม่ยั้ง ไม่เสียชื่อหนังเต้นเลย ยิ่งเมื่อการเต้นขั้นเทพผนวกกับเทคนิคการเคลื่อนกล้องที่ฉับไวและตัดต่อที่เนียนกริบก็ยิ่งเสริมให้ภาพที่ได้ว้าวมาก ๆ โดยเฉพาะซีนเต้นเดี่ยวโชว์เก๋าปิดท้ายที่ตรึงตาตรึงใจ เพิ่มพลังความน่าทึ่งของเฉินซั่ว (และหวังอี้ป๋อ) ไปแบบเต็มสิบไม่หักเลยทีเดียว รวมทั้งยังเสริมพลังของเรื่องให้ไต่ระดับได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ก็มีซีนที่ดูจะไม่เหมาะกับการเคลื่อนกล้องแบบนี้อยู่บ้าง อย่างซีนที่เต้นทั้งทีม การเคลื่อนกล้องฉึบฉับก็ดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่ (คือการเต้นมันก็ฉึบฉับอยู่แล้ว พอหลาย ๆ คนเต้นพร้อมกัน เป็นชอตต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ อีก มันเลยดูฉวัดเฉวียนชวนมึนไปนิด ขนาดจะแคปบางส่วนทริลเลอร์มายังไม่ได้เลย ไปกันไวมาก) แต่โดยรวม ๆ ดูแล้วได้ฟิลเหมือนดูรายการ SDC แบบมีดราม่าครบรสอย่างไรอย่างนั้น ใครชอบการเต้นถือว่าไม่ควรพลาดอย่างแรง แค่ดูการเต้นก็คุ้มเกินค่าตั๋วไปแล้วละ

สำหรับดนตรี บางช่วงใช้ดนตรีทรานซิสเล่าอารมณ์คอนทราสของเรื่องได้ดีมาก ๆ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่รู้สึกแน่นไปหน่อย ซึ่งอันนี้ก็เหมือนจะล้อ ๆ ไปกับงานภาพที่อัด ๆ ล้น ๆ เช่นกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายอึดอัดอะไร

ส่วนเสริมและดรอปพลังเรื่อง

นอกจากเนื้อหาคว้าฝัน ความเป็นทีม และมิตรภาพแล้ว สิ่งที่เราชอบในเรื่องนี้คือการใส่การปลูกฝังจิตสำนึกบางอย่างแบบเนียน ๆ ทั้งในเรื่องความรักชาติ (ซึ่งส่วนใหญ่หนังสัญชาติจีนมักทำแบบโต้ง ๆ แต่เรื่องนี้ไม่เด่นกำปั้นทุบดินแบบเรื่องอื่น) ความรู้สึกขอบคุณในแบบที่มีระดับความลึกซึ้งคล้ายที่พบเจอในหนังญี่ปุ่น การยอมรับในตนเอง การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้ดีดูเป็นธรรมชาติพอสมควร

แม้ว่าโดยรวมเรื่องจะชวนอิน แต่มีจุดหนึ่งในเรื่องที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่นั่นคือสถานที่ซ้อมเต้นในช่วงจบ เนื่องจากสถานที่พระเอกใช้ซ้อม ปูมาแต่เริ่มนั้นมีพลังทำให้เห็นถึงความลำบากได้ดีมาก แต่ในช่วงหลังที่จำต้องเปลี่ยนที่ซ้อมมันกลับไม่สอดคล้องกับความลำบากที่ปูมาในตอนแรกเท่าที่ควร แม้จะมีที่มาที่ไปชวนซึ้ง แต่กลับดูยัดเยียดเหมือนโผล่มาผิดจังหวะไปนิด หากเล่าเพิ่มเติมว่าทำไมถึงมาใช้จุดนี้ มีโปรยมาในช่วงแรกบ้างก็น่าจะช่วยให้ความตงิดตรงนี้บรรเทาลงบ้าง แต่ไอเดียที่ซ้อมแรกบรรเจิดอยู่นะ อยากรู้ว่าพระเอกเราไปซ้อมที่ไหนบ้างต้องลองตามไปดูแล้วละ



สรุป ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดี ดูสนุก ดูเพลิน และว้าวกับเทคนิคการเต้นมาก ๆ แม้หนังจะเร็ว ๆ ล้น ๆ ไปบ้าง แต่พอหนังจบแล้วก็ยังมีโมเมนต์นั่งฟังเพลงต่อจนจบได้ ไม่รู้สึกเลยว่าหนังยาวถึงสองชั่วโมง ดูจบแล้วก็รู้สึกว่าดูซ้ำได้อีก 

อ่อ อีกอย่างที่รู้สึกว่าดีคือหนังทำงานได้ตามชื่อเรื่อง สเต็ปกล้าท้าฝัน จริง ๆ ดูแล้วพลังบวกไหลบ่ามาเลยละ ซึ่งอันนี้นอกจากความดีงามของตัวหนังเองแล้ว ก็ยังถือเป็นความเฉพาะตัวของหวังอี้ป๋อด้วย เพราะไม่ว่าจะในงานเพลงหรือในหนัง หากเป็นแนวส่งต่อพลังชีวิต อี้ป๋อมักถ่ายทอดได้ดี เกินความเป็นหมูเร้กของบรรดามัมหมีไปไกลโข คนต้องการดูหนังสนุกฟีลกู๊ดนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องแนะนำเลย และไม่แน่ว่าคุณเองอาจจะถูกเสน่ห์ของความนอบน้อมแต่เปี่ยมล้นด้วยพลังของหวังอี้ป๋อตกเข้าด้อมไปอีกคนก็ได้นะ

“สเต็ปกล้าท้าฝัน One and Only” จะเข้าฉายทุกโรงภาพยนตร์ ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ เตรียมปักหมุดไปตำกันได้เลยยย

อนึ่ง คะแนนรวมที่ให้ไปคือหักลบกลบจุดอ่อนของหนัง แต่ถ้ามองตามรสนิยม (ซึ่งรวมถึงความติ่งในใจ) ของผู้รีวิว และพลังที่ได้จากหนังแล้วละก็ เราขอให้ทดให้สองนักแสดงนำและความทุ่มเทในการเต้นไปอีกนิดรวมเป็น 8.5 คะแนนแล้วกันนะ โอ๊ะ เลขสวยด้วยนะเนี่ย 555