สรุปแล้ว..หนังทำเงินสูงที่สุดตลอดกาลของดีซีก็คือ "Aquaman" และนี่คือปัจจัยความสำเร็จ
เมื่อพูดหนังซูเปอร์ฮีโรฝั่งดีซี ชื่อแรก ๆ ที่เราคิดกันได้ขึ้นมาก็มักจะเป็น ‘Superman’, ‘Batman’ หรือ ‘Wonder Woman’ แต่กลับกลายเป็นว่าหนังดีซีที่ทำเงินสูงที่สุดตลอดกาลของค่ายกลับเป็น ‘Aquamanง เมื่อปี 2018
แม้ว่าทางฝั่งมาร์เวลนั้น จะนำหน้าดีซีในตลาดหนังซูเปอร์ฮีโรในช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ทางดีซีนั้นก็เป็นค่ายที่ทำหนังมาก่อนยาวนาน และมีหลาย ๆ เรื่องที่ได้รับยอมรับจากนักวิจารณ์และได้รับการยกย่องจากแฟน ๆ อย่างเช่น ‘Superman’ เวอร์ชันปี 1978 หรือ ‘Batman’ เวอร์ชันปี 1989 ของผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) และอีกมากมายหลายเรื่อง ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรในยุคแรก ๆ นั้น ส่วนใหญ่เป็นหนังของทางฝั่งดีซี ที่จับมือกับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส และเป็นหุ้นส่วนต่อกันที่ดีมายาวนาน สร้างหนังที่ประสบความสำเร็จออกมาหลายเรื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ที่โดดเด่นก็มีอย่าง ‘The Dark Knight’, ‘Wonder Woman’, ‘Joker’, ‘The Batman’ และ ‘Shazam!’
แต่ภาพยนตร์ดีซีเรื่องหนึ่งที่ทำรายได้แซงหน้าทุกเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด และทำรายได้สูงที่สุดก็คือ ‘Aquaman’ เมื่อปี 2018 หนังนำแสดงโดย เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) และกำกับโดย เจมส์ วาน (James Wan) แม้ว่า Aquaman จะเป็นตัวละครที่เก่าแก่มากของดีซี ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1941 แต่ก็เพิ่งได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเอาเมื่อปี 2018 นี้ล่ะ หนังติดตามชีวิตของ อาร์เธอร์ เคอร์รี บทของโมโมอา ซึ่งเคยเปิดตัวมาแล้วใน ‘Batman v. Superman: Dawn of Justice’ ในปี 2016 และ ‘Justice League’ในปี 2017 และในหนังเดี่ยวเรื่องแรกของ Aquaman นั้น เขาพาผู้ชมดำดิ่งลงไปยังอาณาจักแอตแลนติสเพื่อหยุดยั้งสงครามระดับโลกระหว่างชาวแอตแลนติสกับผู้คนบนผิวโลกไม่ให้อุบัติขึ้น
แม้ว่าหนังจะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ก็ต้องใช้เวลาทิ้งช่วงถึง 5 ปี กว่าที่ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ภาค 2 จะตามออกมาในเดือนธันวาคมปีนี้ จนผู้คนเริ่มลืมเนื้อหาในภาคแรกกันไปแล้ว บทความนี้จะพาผู้อ่านย้อนไปดูความสำเร็จของภาคแรก และเจาะลึกถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ว่าเพราะเหตุใด ‘Aquaman’ ถึงประสบความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หนังออกฉายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เจอคู่แข่งไม่แข็ง
‘Aquaman’ ออกฉายในช่วงใกล้วันคริสต์มาสปี 2018 และเป็นช่วงที่แต่ละสตูดิโอปล่อยหนังฟอร์มใหญ่ออกมาชนกันมากมายรับเทศกาลวันหยุด ซึ่งมีทั้ง ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’, ‘Mary Poppins Returns’, ‘Bumblebee’, ‘The Mule’ และ ‘ Mortal Engines’ ในช่วงเปิดตัวนั้น ‘Aquaman’ ทำได้ไม่ดีนัก ทำรายได้ในสหรัฐฯ ไปได้แค่ 67 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในจักรวาลภาพยนตร์ดีซีแล้ว ตัวเลขพอ ๆ กับ ‘Black Adam’ ที่เพิ่งล้มเหลวไปเมื่อปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ‘Aquaman’ก็เดินหน้าต่อได้อย่างสวยงาม รายได้สัปดาห์ที่ 2 ลดลงไปเพียงแค่ 23% และสัปดาห์ที่ 3 ลดลงไปอีก 41%
หนังออกฉายในช่วงวันหยุดที่มีหนังเข้าใหม่เบียดโรงฉายกันแน่นขนัด แต่หนังหลาย ๆ เรื่องที่ออกฉายในเดือนธันวาคมปี 2018 ไม่ค่อยถูกอกถูกใจผู้ชมในวงกว้างมากนัก แม้ว่าในวันนั้นจะมี ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ที่กลายเป็นแฟรนไชส์ทรงคุณค่าในวันนี้ ออกฉายอยู่ด้วย แต่ในวันที่ภาคแรกออกฉายนั้นก็ทำรายได้ไม่ดีนัก แต่หนังเพิ่งมาฮิตเอาจริง ๆ ก็ตอนที่มาสตรีมมิงทาง Netflix นั่นล่ะ ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่าง ‘Bumblebee’ และ ‘Mary Poppins Returns’ ก็ไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมได้ แต่เมื่อการเข้าโรงดูหนังเป็นกิจกรรมที่ผู้ชมสนใจกันมากที่สุดในเทศกาลวันหยุดแบบนี้ เมื่อตัวเลือกอื่น ๆ ไม่ค่อยน่าสนใจ สุดท้ายแล้ว ‘Aquaman’ ก็คือตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในวันนั้น
และที่สำคัญ ปี 2018 ยังเป็นช่วงที่หนังซูเปอร์ฮีโรอยู่ได้รับกระแสความนิยมอย่างมาก เป็นกระแสที่ค่อย ๆ ก่อตัวมาตั้งแต่ทศวรรษที่แล้วและมาถึงขีดสุดในช่วงนี้ และเป็นช่วงก่อนที่โควิด-19 จะเริ่มแพร่ระบาด ในปีนี้มีหนังซูเปอร์ฮีโรออกฉายมากถึง 9 เรื่อง ตอกย้ำให้เห็นถึงยุครุ่งเรืองของหนังซูเปอร์ฮีโรจริง ๆ ที่เด่น ๆ ในปีนั้นก็อย่างเช่น ‘Avengers: Infinity War’, ‘Venom’, ‘Deadpool 2’, ‘Black Panther’, ‘Incredibles 2’ และอีกหลายเรื่อง ซึ่งทั้งหมดก็ถือว่าประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ และ ‘Aquaman’ ก็เป็นหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องสุดท้ายในปีนั้น หนังประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ในเชิงบวก
จนในปีถัดมา ที่เริ่มเห็นแววขาลงของหนังซูเปอร์ฮีโร เริ่มมีหนังล้มเหลวให้เห็นในปี 2019 อย่างเช่น ‘Dark Phoenix’ และ ‘Hellboy’ ตามมาด้วย ‘The New Mutants’ และ ‘Wonder Woman 1984’ ในปี 2020 และเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนัก
กระแสแบบปากต่อปาก
‘Aquaman’ สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมได้อย่างแท้จริง ทั้งก่อนและเข้าฉายและระหว่างที่ฉาย ตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาก็สามารถดึงความสนใจผู้ชมได้เป็นอย่างดี ซึ่งดูเหมือนเป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมและลงตัว ของหนังแนวซูเปอร์ฮีโรเข้ากับการผจญภัยแบบ อินเดียนา โจนส์ และฉากหลังที่เป็นแฟนตาซีอลังการตามแบบ ‘The Lord of the Rings’ แถมยังมีเรื่องราวการชิงบัลลังก์แบบ ‘Game of Thrones’ อีกด้วย เมื่อตัวอย่างหนังสามารถดึงความสนใจผู้ชมได้สำเร็จ นั่นก็หมายถึงความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ
และในวันที่หนังออกฉายแล้ว ก็มีคำพูดดี ๆ มากมายจากผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์แล้ว พวกเขารู้สึกสนุกไปกับหนังแล้วก็มาเล่าต่อให้เพื่อน ๆ และครอบครัวฟังกันซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลวันหยุด และสามารถดึงผู้ชมให้ไปซื้อตั๋วดูได้เรื่อย ๆ ในสัปดาห์ต่อ ๆ มา ส่วนคะแนนจากนักวิจารณ์นั้น บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes นั้นอยู่ที่ 65% แต่ทางฝั่งผู้ชมนั้นขึ้นไปสูงที่ 80% แล้วจึงค่อยลดลงมาที่ 72% และได้คะแนน CinemaScore ที่ A- บรรยากาศเชิงบวกรอบ ๆ ตัวหนังนี้ ล้วนเป็นเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่ส่งให้รายได้หนังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดต่างประเทศ
ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งให้ ‘Aquaman’ ประสบความสำเร็จ ก็คือการตอบรับจากตลาดนานาประเทศ ในตลาดสหรัฐฯ นั้นก็ถือว่า ‘Aquaman’ ทำตัวเลขไปได้อย่างน่าพอใจ หนังทำรายได้ในประเทศไปที่ 335 ล้านเหรียญ นับเป็นภาพยนตร์ดีซีที่ทำรายได้สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจาก ‘Wonder Woman’ แต่ความสำเร็จที่เป็นระดับตำนานจริง ๆ นั้นคือตลาดต่างประเทศ ‘Aquaman’ ทำรายได้ในตลาดโลกไป 808 ล้านเหรียญ เป็นรายได้ที่สูงกว่าหนังดีซีเรื่องไหน ๆ ที่เคยทำได้มาก่อน
ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขรายได้ของ ‘Aquaman’ สูงถึง 1,43 ล้านเหรียญ แซงหน้าหนังดีซีเรื่องที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้อย่าง ‘The Dark Knight Rises’ และ ‘Batman v. Superman: Dawn of Justice’ หรือแม้แต่ ‘Joker’ที่เข้าฉายในปี 2019 ก็ทำรายได้ในตลาดต่างประเทศไปที่ 728 ล้านเหรียญ และทำรายได้รวมไปที่ 1,074 ล้านเหรียญ
ตัวเลขรายได้จากตลาดต่างประเทศอันน่าประหลาดใจนี่แหละ ที่ทำให้ ‘Aquaman’ ประสบความสำเร็จบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ และส่วนสำคัญที่สุดในตลาดต่างประเทศนี้ก็คือ “จีน” หนังกวาดรายได้ในประเทศจีนได้ถึง 291 ล้านเหรียญ ส่วนประเทศอื่น ๆ อย่าง ออสเตรเลีย, สหราชอาณาจักร, เกาหลีใต้, ฝรั่งเศส, บราซิล และ เม็กซิโก รวม ๆ กันแล้วประมาณอีก 30 ล้านเหรียญ แม้ว่าภาคต่อ ‘Aquaman and the Lost Kingdom’ ที่ดูวี่แววแล้วไม่น่าจะไปได้ถึงความสำเร็จในระดับนี้ แต่ก็น่าติดตามกันว่าหนังทุนสร้าง 205 ล้านเหรียญเรื่องนี้จะทำตัวเลขรายได้ไปในระดับไหน ในวันที่กระแสหนังซูเปอร์ฮีโรเริ่มเสื่อมมนตร์ขลังแล้ว
ที่มา : movieweb the numbers IMDB