Movie ReviewOur Season (2023)ความรักจากแม่ ความคิดถึงของลูก ความรู้สึกผิดและความไม่เข้าใจ และสุดท้ายความอบอุ่นหัวใจเมื่อทุกอย่างมาบรรจบบ่อยครั้งที่ผู้เขียนเลือกดูหนังแบบนี้อาจเพราะชอบหนังดราม่าแต่ก็ชอบความสุขในการที่ได้ดูได้รับรู้ในสิ่งที่หนังต้องการสื่อให้คนดูอย่างเราๆได้สัมผัส หรืออาจเพราะหัวใจโหยหาบางอย่างในวันที่วัยล่วงเลยมาไกลจากจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ปัจจุบันอยู่ตรงกลางค่อนปลายของชีวิตทั้งยังอยู่ตรงกลางระหว่างสถานะเพราะอยู่ในฐานะลูกและอยู่ในฐานะพ่อ ดังนั้นเมื่อเห็นหนังที่เล่าถึงเล่าเรื่องราวที่พัวพันมิติทางหัวใจในความไม่เข้าใจระหว่างคนในครอบครัวจึงเหมือนเป็นอะไรที่เห็นไม่ได้ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าในฐานะมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ทุกวันย่อมต้องมีบางแง่มุมที่ไม่สามารถเข้าใจกันระหว่างวัยได้ทั้งในฐานะพ่อและในฐานะลูก แน่นอนในบางแง่มุมก็เก็บเอาไว้คนเดียวแต่บางเรื่องราวก็พยายามเปิดอกคุยกันก่อนที่จะสายเพราะไม่มีทางรู้ว่าวันพรุ่งนี้ชีวิตจะเป็นอย่างไรเพราะชีวิตก็คือความไม่แน่นอน ดังนั้นบางแง่มุมของหนังที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้จึงเป็นหนังที่สามารถให้แง่คิดในการใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจและกระจายความรักให้ทั่งถึงทุกมิติ เพราะอาจบางทีคนเราอาจคิดได้เมื่อสายเกินไปจนไม่มีเวลามาปรับความเข้าใจกันเหมือนกับหนังเรื่องนี้พัคบ๊กจา (คิมแฮซุก) หญิงชราที่ตายไปแล้วแต่ได้รับโอกาสให้กลับมาพักร้อนสามวันเพื่อรำลึกความทรงจำกับคนที่รักและห่วงใย และคนเดียวที่คุณยายพัคบ๊กจาห่วงและคิดถึงสุดหัวใจคือบังจินจู (ชินมินอา) ลูกสาวที่เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยยูคลา (UCLA) เธอจึงขอให้ไกด์ส่วนตัวจากยมโลก (คังกียอง) ให้พาเธอไปได้รู้ว่าลูกสาวของเธอที่อเมริกามีชีวิตที่ดีอย่างไร แต่เมื่อมาถึงกลับกลายเป็นการมาที่บ้านหลังเก่าที่เป็นร้านอาหารที่พัคบ๊คจาอยู่จนวาระสุดท้ายและกลายเป็นว่าลูกสาวที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อเมริกาแต่กลับมาเปิดร้านเก่าของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจเพราะเมื่อเธอตายไปแล้วก็ไม่รับรู้ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไรแต่เธอกลับได้มาเห็นลูกสาวที่เธอรักและภูมิใจอยู่ในสภาพอมทุกข์และป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แต่เงื่อนไขของการพักร้อนคือเธอจะไม่สามารถติดต่อสัมผัสกับคนที่ยังมีชีวิตได้เธอจึงได้แต่สังเกตความเป็นไปของลูกสาว แล้วเธอก็พบว่าระหว่างเธอกับลูกสาวมีช่องว่างที่ห่างกันมากมายและมีปมในใจที่ซับซ้อนรอวันคลายแต่เมื่อเธอกับลูกสาวพูดกันไม่ได้ปมนั้นจะคลี่คลายอย่างไรเหมือนเล่าเรื่องง่ายๆเดินไปข้างหน้าแล้วย้อนกลับมาคลี่คลายแต่ฉลาดที่วางตัวแปรไว้ได้น่าติดตาม ด้วยการเล่าเรื่องที่อาจพบเห็นได้ทั่วไปทั้งงานระดับหนังใหญ่และระดับละครซีรีส์ของเกาหลีคือการเล่าไปข้างหน้าแล้วย้อนกลับมาเฉลยที่คลี่คลายความสงสัย และสำหรับบทหนังของเรื่องนี้คือวางความสงสัยไว้ตั้งแต่แรกเพราะโผล่มาก็คือช่วงกลางที่พร้อมจะเดินหน้าแต่ปริศนาคืออะไรที่ทำให้ต้องมาอยู่ในสถานการณ์อึมครึมแบบนี้ ซึ่งชั้นเชิงที่เล่นอาจจะไม่ใหม่รู้แล้วว่าต้องมีการย้อนกลับไปเฉลยเพื่อประสานใจและเข้าใจกันระหว่างแม่กับลูกแต่มันกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะความฉลาดของบทหนังที่วางตัวแปรสำคัญไว้คือการไม่ให้ทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันได้ในทุกทางที่ทำได้คือฝ่ายแม่ที่เฝ้าดูลูกอย่างใกล้ชิดแต่ทำอะไรบอกอะไรไม่ได้ แล้วความฉลาดตรงนี้ก็พาความสงสัยเข้ามาเต็มที่เพื่อที่จะพาไปสู่การเฉลยที่ง่ายๆแต่ก็เป็นเรื่องสามัญจนเหมือนไม่ใช่งานแฟนตาซีแต่ที่น่าแปลกคือคนดูก็รู้ทั้งรู้ว่าจะมาไม้นี้แต่ก็ยังอยากรู้ว่าจะลงเอยอย่างไร ทำให้แม้จะเหมือนกับเล่นง่ายๆแต่สามารถทำให้เรื่องที่เล่าออกมาน่าติดตามจนไม่เหลือบมองเวลาเล่าเรื่องที่คุ้นเคยคล้ายไม่มีอะไรแต่จับใจและประทับใจเพราะยิงโดนใจหรืออาจเรียกได้ว่าเกาถูกที่คัน กับหนังหรือละครซีรีส์เกาหลีที่เล่าเรื่องความรักความห่วงใยที่ถูกช่องว่างบางอย่างมากั้นเพื่อรอวันประสานความเข้าใจ ความจริงก็เหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่ที่เกาหลีถนัดในการสอดดราม่าเข้าในจังหวะเวลาที่ต้องใส่จนบางครั้งก็กลายเป็นอาการบีบคั้นหรือขยี้ไปก็มี แต่สิ่งที่เรื่องนี้เป็นที่ความจริงก็ยังมีอาการแบบนี้แต่ที่ทำได้ดีคือการเล่าเรื่องที่เป็นเรื่องพื้นฐานในชีวิตเรื่องของชีวิตที่ปากกัดตีนถีบทำให้ไม่มีทางเลือกและความรักที่ตั้งบนความเสียสละ นั่นคือแม้จะรู้ทั้งรู้ว่านี่คือกระสุนที่ยิงเข้ามาแต่สิ่งที่พัคบ๊กจาในหนังเป็นก็คือความน่าเห็นใจที่ถ้ามองในฐานะคนเป็นพ่อหรือแม่คงไม่มีทางไม่เข้าใจ นั่นคือลูกเล่นเดิมที่ยิงแม่นโดนใจ ประกอบกับการเล่าเรื่องสองมุมเพราะมันคือความไม่เข้าใจเพราะความห่างเหินและทำให้ในมุมของบังจินจูก็น่าเห็นใจเท่ากับว่ามองมุมไหนก็น่าเห็นใจทั้งคู่ ทำให้แม้จะเล่าเรื่องที่คุ้นเคยแม้ว่าจะเล่าเรื่องเมื่อความตายได้มาพรากโอกาสความทำเข้าใจไปก็ยังคุ้นเคยแต่เมื่อเกาถูกที่คันจึงผลักดันให้กลายเป็นความประทับใจเพราะทุกความผูกพันมักต้องเผชิญความห่างเหินบนความไม่เข้าใจแต่ความรักยังคงงดงามเสมอ เพราะในชีวิตเรามักเห็นคนแบบนี้เสมอนั่นคือคนดีที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนักจนต้องเสียสละบางอย่าง ในมุมของพัคบ๊กจาก็คือการมองเห็นอนาคตของลูกที่รออยู่ตรงหน้าที่เธอสามารถสร้างขึ้นมาเพื่อลูกได้แต่สิ่งที่ต้องทำคือการทิ้งลูกไปและมันคือความเจ็บปวด ขณะเดียวกันในมุมของบังจินจูที่โตมากับการที่แม่แต่งงานใหม่และแม้จะยังเป็นแม่คนเดิมแต่การไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ทำให้ชิ้นส่วนบางอย่างที่ควรมีร่วมกันขาดหายไปกลายเป็นความเจ็บปวด กระนั้นในเวลาที่หนังเดินไปก็สามารถมองเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เคยขาดแคลนความรักที่มีให้กันแม้ว่าฉากหน้าจะดูเหมือนไม่เข้ากันแต่นั่นก็เกิดจากช่องว่างของชื้นส่วนชีวิตที่หายไปร่วมกันนั้น สุดท้ายเมื่อชิ้นส่วนของคนสองคนที่ไม่ได้เปิดเผยได้ถูกเฉลยความจริงก็ปรากฎว่าความรักความห่วงใยไม่เคยจืดจางไปคนต่างฝ่ายต่างคิดถึงแต่มีช่องว่างขวางกั้นไว้ สุดท้ายเมื่อถึงเวลาต้องปลดเปลื้องพันธนาการของลูกแม่ก็ต้องเสียสละสิ่งที่มีค่าที่สุดอีกครั้งเพราะความรักยังคงงดงามเสมอโดยเฉพาะความรักของแม่การประชันบทบาทของนักแสดงสามรุ่นในสองบทบาททำให้ทุกแง่ปมที่ถูกมัดไว้กลายเป็นจี้ถูกจุด ในฉากหน้าอาจเห็นว่าเป็นการเดินเรื่องโดยสองนักแสดงสองรุ่นคือคิมแฮซุกและชินมินอาแต่หนังจะไม่สามารถผูกปมในใจได้ถ้าไม่ได้สามนักแสดงอีกสองรุ่นใจบทบาทพัคบ๊กจาและบังจินจูในแต่ละช่วงวัย นั่นคือการคิมแฮซุกและชินมินอาสามารถคลี่คลายปมในใจได้จนเรื่องลงเอยสวยงามเพราะการแสดงของแบแฮซุนในบทพัคบ๊กจาในวัยสาวและวัยกลางคน เสริมด้วยมิติในสองช่วงวัยของบังจินจูที่รับผิดชอบโดยคิมฮยอนซูในช่วงวัยรุ่นตอนต้นกับพัคเยรินในช่วงวัยเด็ก นั่นหมายความว่าการแสดงที่สื่อสารได้อย่างโดนใจของคิมแฮซุกและชินมินอาที่เป็นปัจจุบันที่สถานการณ์อึมครึมเต็มไปด้วยความหม่นโศกเศร้าซึมนั้นมาจากการผูกปมของสามนักแสดงที่รับบทในอีกช่วงวัย ซึ่งมันก็คือรากฐานชั้นดีให้ภาพในปัจจุบันมีพัฒนาการจนกลายเป็นความสว่างใสในตอนท้ายได้เพราะทุกอย่างคลี่คลายประหนึ่งรากฐานที่มั่นคงของสิ่งปลูกสร้าง แน่นอนทุกอย่างที่เหล่านักแสดงได้เล่าออกมาแม้ว่าจะเหมือนดูขยี้ไปบ้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจี้ถูกจุดความร้ายกาจคืออารมณ์ขันที่พอดีบวกกับความหม่นเศร้าและลงท้ายด้วยความอบอุ่นจนกลายเป็นยิ้มทั้งน้ำตา เพราะเริ่มเรื่องจากแนวแฟนตาซีที่ตั้งท่ามาเหมือนจะเบาสมองและยังเป็นแบบนั้น แต่เมื่อนี่คือเรื่องเล่าของความรักจากแม่ที่มาพร้อมความคิดถึงของลูกเล่าผ่านความรู้สึกผิดของกันและกันเพราะความไม่เข้าใจที่กลายเป็นปมในใจที่ยากจะแก้ แถมยังไม่มีโอกาสให้แก้เพราะเมื่อความรักถาโถมผ่านความคิดถึงอีกฝ่ายก็ไม่อยู่ให้ระบายให้ฟังแล้วเรื่องจึงมาพร้อมความหม่นเศร้านั่นเท่ากับว่าในความเบาสมองและความหม่นเศร้าเข้ากันได้ดี นั่นเพราะความพอดีคืออารมณ์ขันที่พอดีกับความหม่นเศร้าที่อาจเห็นว่าเป็นการขยี้แต่จังหวะเวลาและดราม่าที่เป็นเรื่องพื้นฐานในชีวิตมันจึงเป็นความพอดีในสององค์ประกอบ แน่นอนหนังยังอบอวลไปด้วยความรักที่สองคนแม่ลูกไม่ได้แสดงความรักให้กันในวันที่ยังมีโอกาสความรักที่สัมผัสได้นั้นแม้จะเข้มและสัมผัสแรงแต่ก็มีความหมอง แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อทุกอย่างคลี่คลายทั้งที่ไม่น่าจะคลี่คลายได้เพราะไม่มีโอกาสพูดกันหนังก็พลันอบอุ่นขึ้นมาทันใดแม้ว่าตอนท้ายจะเหมือนโกงเล็กน้อยก็ตามดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4,5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram showbox.movie ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/L5ajXnPjLplk https://entertainment.trueid.net/detail/yPDYxDBA53xzเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !