รีวิว The Equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา 3) การปิดไตรภาคที่สวยงาม ฉากแอ็คชั่นมีน้อยแต่ดุเดือดถึงใจทุกฉาก บทความรีวิวนี้ ถูกเขียนขึ้นมาจากความรู้สึกส่วนตัวของผม หากผิดพลาดประการใด หรือไม่ถูกใจใครต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ แต่ก่อนจะมาเริ่มการรีวิวเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนดีกว่าเรื่องย่อ The Equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา 3)ภาพยนตร์เรื่องนี้คือการปิดไตรภาคของนักฆ่ามัจจุราชไร้เงา ซึ่งในภาคนี้จะยังคงติดตามเรื่องราวของ Robert McCall (รับบทโดย Denzel Washington) ที่กำลังอยากจะเกษียณตัวเอง หลังจากไปสังหารมาเฟียในไร่อันห่างไกลบนเกาะซิซิลี ประเทศอิตาลี McCall ได้ถูกยิงเข้าที่หลังจนหมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าเขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในอิตาลี โดยได้รับความช่วยเหลือจาก Gio Bonucci (รับบทโดย Eugenio Mastrandrea) ตำรวจจิตใจดีที่พบเขาหมดสติอยู่จึงพากลับมาที่หมู่บ้านและให้คุณหมอ Enzo Arisio (รับบทโดย Remo Girone) ช่วยรักษาเขา หลังจากพักฟื้นอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ได้ระยะหนึ่ง McCall ก็เริ่มชอบสถานที่แห่งนี้และหวังที่จะใช้ชีวิตเกษียณอยู่ที่นี่ ทว่าความสงบสุขอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมืองแห่งนี้ถูกครอบงำโดยมาเฟียใจบาปที่คอยคุกคามชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ McCall จึงต้องออกโรงอีกครั้งเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับชาวเมือง ท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง The Equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา 3) ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ตัวอย่าง The Equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา 3)รีวิว The Equalizer 3 (มัจจุราชไร้เงา 3)สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนตัวคือผมตั้งตารอมานานพอสมควร เพราะนี่นับเป็นแฟรนไชส์แอ็คชั่นที่ผมชอบมากๆ ทว่าเมื่อได้ดูจริงๆ ต้องบอกตามตรงว่าแอบผิดหวังเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะคาดหวังเอาไว้ว่าจะได้เห็นฉากแอ็คชั่นที่ดุเดือดสะใจเหมือนกับ 2 ภาคแรก ซึ่งกลายเป็นว่าในภาคนี้ฉากแอ็คชั่นกลับน้อยลงมากๆ แต่ก็เข้าใจเพราะเขามุ่งเน้นไปที่เรื่องราวและบทสรุปของตัวละครมากกว่า อย่างไรก็ตาม ถึงผมจะบอกว่าแอบผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ชอบหรือตัวหนังไม่ดี เพราะที่จริงมันก็ออกมาดีใช้ได้ นับว่าเป็นการปิดไตรภาคที่สวยงามเลยก็ว่าได้ บทเขียนมาดี ง่ายๆ แต่ทรงพลัง เขาใช้ช่วงเวลาครึ่งเรื่องแรกไปกับการปูเรื่องราวสลับกับการเจาะลึกสู่จิตใจของตัวละคร ชอบมากที่เขาเปิดด้วยการให้หมอถามพระเอกว่าคุณเป็นคนดีหรือคนไม่ดี? ซึ่งพระเอกตอบกลับว่า "ไม่รู้" มันบ่งบอกให้เห็นถึงความสับสนของตัวพระเอกเองว่าสรุปเขาเป็นคนยังไง เขาทำความดีก็จริง แต่การทำความดีของเขาทุกครั้งมันต้องมือเปื้อนเลือดเพราะต้องสังหารคนไม่ดี นอกจากนี้ยังมีฉากที่พระเอกคิดย้อนไปถึงอดีตตอนที่เขาสังหารผู้คนด้วย มันยิ่งย้ำไปอีกว่าเขาเองก็อยากพอกับการเป็นนักฆ่าเต็มทีแล้วคำถามที่คุณหมอถามพระเอกมันไม่ได้จบไปแค่ต้นเรื่อง เพราะหลังจากพระเอกใช้ชีวิตในเมืองนี้ได้ซักพัก เขาก็ถามหมออีกครั้งว่าทำไมถึงช่วยเขา และไว้ใจเขาได้ขนาดนี้ หมอก็ตอบกลับมาว่า "มีแต่คนดีเท่านั้นที่จะตอบว่าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดีหรือไม่คนไม่ดี" ซึ่งมันเป็นบทพูดสั้นๆ แต่ก็ทำให้เราคิดตามได้ว่ากันจริงอย่างหมอบอก ส่วนตัวผมมองว่าหนังภาคนี้จะสนุกขึ้นมากๆ ถ้าเราดูแบบรวดเดียว 3 ภาคติดๆ กัน เพราะเราจะได้อินและเข้าใจการเดินทางของตัวละครมากกว่านี้ พอเว้นว่างหลายปี มันเลยแอบผิดหวังนิดๆ เพราะอยากจะเห็นฉากแอ็คชั่นเนี่ยแหละ แต่ถึงแม้ฉากแอ็คชั่นจะน้อย แต่ทุกฉากที่ใส่มามันเดือดและสะใจมาก เรียกได้ว่าน้อยแต่มาก เริ่มจากฉากเปิดเรื่องที่เปิดมาโคตรจะเท่ ให้เห็นเลยว่าพระเอกนี่เก๋าเกมจริงๆ ไม่หวั่นเกรงอะไรเลย ฉากต่อมาคือตอนสังหารน้องมาเฟียที่มาซ่าป่วนเมือง หนังปูให้เราเกลียดตัวละครนี้เกือบครึ่งเรื่อง และค่อยสังหารมันทิ้งแบบสะใจสุดๆ ปิดท้ายด้วยฉากท้ายเรื่องที่โคตรจะเลือดเย็นด้วยการให้กินยาและคลานหนี จากนั้นพระเอกก็เดินตามจ้องหน้าเรื่อยๆ จนหมดลม ซึ่งแน่นอนว่าทุกซีนพระเอกแทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากเลย สมกับชื่อมัจจุราชไร้เงาจริงๆส่วนต่อมาที่จะพูดถึงคือด้านการแสดง ส่วนนี้คือไม่มีอะไรจะติจริงๆ ทุกคนแสดงได้ดีกันหมด โดยเฉพาะป๋า Denzel Washington ที่แบกหนังทั้งเรื่องได้สบายๆ ทั้งการพูด ท่าทาง แววตา เพอร์เฟคไปหมดจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะการแสดงของป๋ามาช่วยไว้ ภาพรวมของตัวหนังอาจจะดรอปมากกว่านี้อีก นอกจากนี้ตัวละครที่อยากชมอีกก็คือตัวร้าย 2 คน ซึ่งแสดงดีทั้งคู่ แสดงได้น่าหมันไส้จนเรารู้สึกเกลียดตัวละครนี้จริงๆ ส่วนนักแสดงสาวสวยอย่าง Dakota Fanning ที่มารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ CIA ต้องบอกว่าบทเธอน้อยและแทบไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรกับเส้นเรื่องเลย แอบเสียดายพอตัว น่าจะให้เธอมีบทบาทมากกว่านี้เสียหน่อย ส่วนสุดท้ายคือด้านงานภาพและการโปรดักชั่น ส่วนนี้ก็ยังคงทำได้ดีตามมาตรฐานเดิมเหมือน 2 ภาคแรก ถ่ายเมืองอิตาลีออกมาได้สวยและน่าอยู่จริงๆ ที่ผมชอบคือการตัดต่อในซีนท้ายเรื่องที่พระเอกไปบุกบ้าน Vincent ฉากนั้นมีการตัดสลับให้เห็นรูปปั้น งานศิลป์ในบ้าน มันให้ความรู้สึกเหมือนหนังอินดี้ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นบ่อยเท่าไหร่ในหนังแอ็คชั่น สรุปโดยรวมเลยคือ ภาคนี้คือการปิดไตรภาคที่สวยงาม ดูได้สนุกเพลินๆ ฉากแอ็คชั่นอาจน้อยแต่สะใจทุกฉาก เสียดายอย่างเดียวคือน่าจะให้พระเอกล้างบางไปจนถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายมันคงจะสุดยอดไร้ที่ติกว่านี้ อย่างไรก็ตาม อย่าเชื่อทั้งหมดที่ผมรีวิว คนเราชอบไม่เหมือนกัน ดังนั้น ทุกคนควรไปดูและตัดสินใจมันด้วยตาตัวเองสุดท้ายนี้ ฝากกดแชร์ และกดติดตามด้วยนะครับช่องทางอื่นๆ ในการติดตาม ละเลงหนังFacebook Fanpage : ละเลงหนังกลุ่มสำหรับพูดคุยเรื่องหนัง : พูดคุยเรื่องหนังทุกเรื่องบนโลก By ละเลงหนังบทความอื่นๆของ ละเลงหนัง :รีวิว One Piece (วันพีช) ซีรีส์ฉบับคนแสดงที่เคารพต้นฉบับจนปัง แฟนวันพีชไม่ควรพลาด! [มีพากย์ไทย] ดูได้ทาง Netflixรีวิว Blue Beetle (บลู บีเทิล) หนังฮีโร่สูตรสำเร็จจาก DC ที่สนุกดูเพลินแต่ไม่ค่อยน่าจดจำรีวิว A Time Called You (เวลาเพรียกหาเธอ) ซีรีส์เกาหลีโรแมนติกไซไฟบทยอดเยี่ยม ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง [มีพากย์ไทย] ดูได้ทาง Netflixรีวิว เรื่องตลก 69 เดอะซีรีส์ การทำใหม่ที่แทบไม่ต่างจากต้นฉบับ มีแค่การเสริมเรื่องราวยิบย่อยเพิ่มมาเท่านั้นเปิดวาร์ป 5 นักแสดงจาก Moving (2023) ซีรีส์เกาหลีแนวซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังฮิตติดชาร์ตแหล่งที่มาทั้งหมดจาก Major Groupภาพปก: ภาพที่ 1ภาพประกอบ: ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4วิดีโอ: ตัวอย่างภาพยนตร์ The Equalizer 3 จาก Youtube: Sony Pictures Thailandจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !