หากพูดถึงบรรดาภาพยนตร์ใน Netflix ที่มีความน่าสนใจ มีความแตกต่างน่าดูชม และได้รับความนิยมในเวลานี้ หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Buster Scruggs ปรากฏอยู่ด้วยเป็นแน่ เนื่องเพราะเป็นภาพยนตร์ที่มีความแหวกม่านประเพณีหรือขนบทั่วไปของภาพยนตร์พอสมควร ทั้งในเรื่องของเนื้อหา การดำเนินเรื่อง ลำดับภาพ การขับขานของถ้อยคำ รวมทั้งเทคนิคการถ่ายทอดเรื่องราว ที่ชวนขับกล่อมไปพร้อม ๆ กับการดึงดูดให้ผู้ชมลอยหลุดเข้าไปในห้วงของภาพยนตร์ได้อย่างน่าตื่นตะลึงที่ถูกลากดึงไปกับจังหวะการพุ่งทะยานของตัวละครในภาพยนตร์ที่ล้วนมีความเข้มข้นและชวนสะดุ้งในความแตกต่างหลากหลายของแต่ละกิริยาอาการภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Buster Scruggs เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เขียนบทและกำกับโดยสองพี่น้องโคเอน คือ โจเอล โคเอน (Joel Coen) และ อีธาน โคเอน (Ethan Coen) ที่ผลงานของทั้งคู่มักสร้างปรากฏการสั่นสะเทือนวงการภาพยนตร์มาหลายเวที อย่างเรื่อง Fargo (ปี 1996), Burn After Reading (ปี 2008), True Grit (ปี 2010) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง No Country for Old Men (ปี 2007) ที่ชนะรางวัลออสการ์ถึง 4 สาขา ได้แก่ ผู้กำกับยอดเยี่ยมภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์สร้างมาจากนวนิยายยอดเยี่ยม และนักแสดงบทสมทบยอดเยี่ยม ซึ่งจนถึงวันนี้หลายฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงติดตาเป็นภาพหลอนที่ชวนระทึกขวัญสั่นประสาทไปกับวิถีของฆาตกรโรคจิตอีธาน โคเอน (Ethan Coen) และ โจเอล โคเอน (Joel Coen)ขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageด้วยสไตล์อันโดดเด่นทั้งในแง่ของการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์ของสองพี่น้องโคเอนที่มีความแตกต่างจากภาพยนตร์ทั่วไปพอสมควร ซึ่งจากผลงานที่ผ่านมาของพวกเขาไม่ได้มีเพียงภาพยนตร์แนวการตามล่าหรือการเข่นฆ่ากันที่โทนของภาพยนตร์ออกไปในทางหม่นเทาแต่เพียงอย่างเดียว ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีทั้งแนวรัก หรือแม้แต่สนุกชวนหัว แต่ทว่าผลงานที่พวกเขาทำได้ดีจนเรียกได้ว่า “โดดเด่น” ก็คือแนวตลกร้ายหรือความขมขื่นของชีวิตที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครได้อย่างน่าพิศชม ที่บางครั้งอาจต้องอาศัยการตีความอย่างแยบคายเพื่อเข้าใจและความถึงในนัยความหมายของตัวภาพยนตร์ ภาพยนตร์ของพวกเขาในแนวนี้ส่วนใหญ่จึงมีความเวิ้งว้างและความเงียบเหงาเป็นฉากหลัง แต่ทว่ามีความประณีตบรรจงและงดงามมาก มันจึงชวนให้เราดำดึ่งสู่ห้วงอารมณ์อันหลากหลายได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการสร้างบรรยากาศและเรื่องราวให้ยากต่อการคาดเดาด้วยการพลิกสถานการณ์ไปมา ซึ่งล้วนชวนให้ไม่กล้าละสายตาแม้แต่เพียงวินาทีเดียวหากว่ากันถึง The Ballad of Buster Scruggs ที่ออกฉายอยู่ใน Netflix ณ เวลานี้ ถือเป็นผลงานเรื่องล่าสุดที่สะท้อนและบ่งบอกสไตล์อันโดดเด่นของสองพี่น้องโคเอนได้เป็นอย่างดี โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลำนำหรือบทกวีแห่งการมีชีวิตที่จะต้องประคองลมหายใจด้วยสติและอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงบนโลกใบนี้ที่ไม่อาจมีใครหลีกหนีได้พ้น ซึ่งได้ถ่ายทอดและบอกเล่าผ่านผู้คนในโลกตะวันตกที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณผืนดินอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ท่ามกลางแสงแดดจ้า หรือที่เรียกว่ากลุ่มคาวบอย โดย The Ballad of Buster Scruggs เป็นภาพยนตร์ที่แบ่งเรื่องราวออกเป็น 6 บท หรือ 6 ตอนที่ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันของตัวละครหรือเรื่องราว มีเพียงโทนสีและรสสัมผัสทางความรู้สึกของตัวภาพยนตร์ที่ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageโดยบทที่ 1 ว่าด้วยเรื่องของ The Ballad of Buster Scruggs ซึ่งถูกใช้เป็นชื่อเรื่องหลักของภาพยนตร์ โดยในตอนนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของ Buster Scruggs ที่เป็นนักแม่นปืนตัวฉกาจที่มีอารมณ์สุนทรีอย่างการขับขานบทเพลง ด้วยพฤติกรรม ท่วงท่าทางความคิดของเขาที่แตกต่างจากคาวบอย ทำให้เขากลายเป็นผู้ร้ายของสังคม แต่ทว่าก็ไม่ได้ทำให้เขาเกรงกลัวต่ออุปสรรคใด ยิ่งทำให้เขาทะนงตนในความเก่งกาจและความเป็นตัวตนของเขาในเรื่องต่าง ๆ กระทั่งการพบเจอกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในตอนท้ายที่ล้วนกลับตาลปัตร ซึ่งอาจทำให้ใครหลายคนเข้าใจความหมายของคำว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageในบทที่ 2 ว่าด้วยเรื่องของ Near Algodones หรือสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้เมือง Algodones เป็นการเล่าเหตุการณ์การปล้นธนาคารของโจรหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งอยากท้าทายการปล้นธนาคารที่ชื่อว่าปล้นยากที่สุดของเมือง เรื่องราวพลิกกลับไปมาตามสไตล์ของสองพี่น้องโคเอน จนไม่อาจคาดเดาตอนจบได้ว่าจะเป็นเช่นไร เพราะจริง ๆ แล้วชีวิตของคนเรานั้นล้วนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนหรือไม่ขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageในบทที่ 3 ว่าด้วยเรื่องของ Meal Ticket ในบทนี้เป็นเรื่องราวของกลุ่มนักแสดงที่เร่ร่อนไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง ผ่านการเล่าเรื่องต่าง ๆ ทั้งขำขัน และน่าสะพรึงกลัวของชายพิการแขนขา ที่มีเพียงคำบอกเล่าประกอบกับสีหน้าแววตาเป็นตัวสร้างอรรถรสในการบอกเล่าเรื่องราวนั้น ๆ ซึ่งได้บอกว่านักแสดงทำออกมาได้อย่างมีพลังน่าเหลือเชื่อ ซึ่งการดำเนินเรื่องนั้นมีความเข้มข้นน่าติดตาม ซึ่งกระเดียดโทนสีไปในทางหนังชีวิตที่โศกเศร้า โดดเดี่ยว อ้างว้าง ซึ่งบทสรุปสุดท้ายนั้นมีความน่าสนใจและน่าขบคิดเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageในบทที่ 4 ว่าด้วยเรื่องของ All Gold Canyon ต้องบอกว่าแสงสีและฉากในบทนี้มีความยิ่งใหญ่ตระการตาจากความสวยงามของธรรมชาติเป็นอย่างมาก โดยเป็นการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายชรากับม้าแก่ ที่ตามขุดหาทองคำตามแม่น้ำในลำธารด้วยประกายความหวังบางอย่าง ซึ่งทุกอย่างดำเนินการผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาลำธาร ชายชรา และม้าแก่ แต่ทว่าการดำเนินเรื่องนั้นกลับชวนให้ผู้ชมมีพลังทางบวกอย่างน่าเหลือเชื่อขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageในบทที่ 5 ว่าด้วยเรื่องของ The Gal Who Got Rattled ซึ่งในบทนี้มีความน่าสนใจเนื่องจากซ่อนแอบประเด็นในเรื่องเพศไว้อย่างน่าดูชม โดยเฉพาะในมิติชายหญิง หรือ Gender ที่ผู้ชายมักเป็นผู้บงการหรือออกคำสั่งกับเพศหญิงเสมอไม่เว้นแม้แต่สถานการณ์อันเลวและความเป็นความตาย ในบทนี้จึงเป็นการชี้ช่องและเสียดสีเพื่อลดทอนค่านิยมดังกล่าวได้อย่างแสนสันขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageในบทที่ 6 ว่าด้วยเรื่องของ The Mortal Remains นับเป็นบทที่ไต่ระดับความดิ่งลึกสู่ภวังค์ในขั้นสุด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยการเดินทางของกลุ่มกลุ่มหนึ่งซึ่งล้วนมีความแตกต่างกันทั้งที่มาและฐานันดร แม้ในบทนี้จะดูคล้ายว่าเป็นบทหรือตอนที่ดูยากที่สุดเนื่องจากจะต้องตีความพอสมควรกว่าจะเข้าถึงแก่นสารที่ตัวภาพยนตร์อยากถ่ายทอดออกมา นับเป็นตอนที่สะท้อนความเป็นตัวตนของสองพี่น้องโคเอนพอสมควร แต่ทว่าในบทนี้หากเราพิศชมด้วยสติอย่างแท้จริงภายใต้ความยากต่อความเข้าใจในบทนี้เราจะเห็นถึงสัจธรรมบางอย่างที่แท้จริงของการมีชีวิต ซึ่งหนังได้ผูกโยงไว้อย่างแยบคายขอบคุณภาพประกอบจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Pageและทั้งหมดนี้ก็คือความน่าดูชมของภาพยนตร์เรื่อง The Ballad of Buster Scruggs หนึ่งในสุดยอดผลงานของสองพี่น้องโคเอนที่สะท้อนมุมมองของสังคมในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ซึ่งนอกเหนือจากการจิกกัดเสียดสีความเป็นมนุษย์และการมีชีวิตอยู่แล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงความตลกร้ายซึ่งเป็นเรื่องที่ล้วนเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รวมทั้งความเป็นจริงของการมีชีวิตที่หลายครั้งไม่อาจมีใครฝืนกฎเกณฑ์ที่แท้จริงไปได้ แม้หลายบทหลายตอนในภาพยนตร์เรื่องนี้อาจดูยากหรือต้องอาศัยการทำความเข้าใจพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไปจนทำให้อรรถรสของภาพยนตร์ต้องสูญเสีย ตรงกันข้ามกลับเป็นภาพยนตร์ดูยากที่มีความสนุกสนาน ชวนให้สงสัยถึงความเป็นโดยไม่อาจละสายตา รวมถึงฉากสุดท้ายของแต่ละบทที่ไม่อาจคาดเดา The Ballad of Buster Scruggs จึงเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ควรพลาดแก่การรับชมด้วยประการทั้งปวงเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ : เอล โคเอน และ อีธาน โคเอนความยาวของภาพยนตร์ : 2 ชั่วโมง 13 นาทีช่องทางการรับชม : Netflixการให้คะแนนโดยผู้เขียน : 9.5/10ขอบคุณภาพหน้าปกจาก The Ballad of Buster Scruggs Official Page