รีเซต

อัปเดตชีวิต! แตงโม นิดา ยอมรับอยู่ก่อนแต่ง มองการแต่งงานไม่จำเป็นอีกต่อไป (มีคลิป)

อัปเดตชีวิต! แตงโม นิดา ยอมรับอยู่ก่อนแต่ง มองการแต่งงานไม่จำเป็นอีกต่อไป (มีคลิป)
Entertainment Report_3
21 กรกฎาคม 2564 ( 15:02 )
396

ข่าวบันเทิงวันนี้

ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็กลายเป็นกระแสไปทุกเรื่อง สำหรับ แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ ที่ได้มาเยือนรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย  CHANGE2561 เจ้าตัวก็ได้เล่าเรื่องเคลียร์ตัวเองแบบหมดเปลือกพร้อมยืนยันว่าไม่ได้ตกอับ ที่ออกไปเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้า เพราะคิดไว้นานแล้วว่าอยากที่จะทำและยืนยันว่าจะลุยต่อทางออนไลน์ พร้อมยังอัปเดตอาการโรคซึมเศร้าที่ต้องเผชิญมาร่วมปีว่าตอนนี้หายดีเกือบเป็นปกติแล้ว เพราะได้กำลังใจดี ๆ จากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นทั้งจากลูกสาว และ แฟนหนุ่ม ที่คอยอยู่ข้างเคียงตัวเองตลอดเวลา และตอนนี้เข้าใจและสัมผัสได้แล้วว่าความรักที่แท้จริงเป็นอย่างไร แย้มยังไม่คิดถึงเรื่อแต่งงาน

แตงโม นิดา ยอมรับอยู่ก่อนแต่ง มองการแต่งงานไม่จำเป็นอีกต่อไป

รู้สึกยังไงบ้างที่ทำอะไรก็เป็นข่าวไปหมดแล้วก็เป็นข่าวแรง ๆ ด้วย? 
แตงโม นิดา : ใช่ค่ะ จั่วหัวข่าวคือแรง ๆ ด้วยทั้งนั้น แล้วเรื่องที่เราไปเปิดท้ายขายของเราก็ไม่คิดว่าเราจะโดน มีความรู้สึกว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนจะมาสนใจแล้วนำแบบที่เราทำไปทำตามก็ได้ เพราะเราไม่ได้มองในแง่ลบว่าเราโดนอีกแล้วเพราะเราอยู่มาจนตอนนี้แล้วเราก็ต้องมีภูมิต้านทานแล้ว เพราะที่เราออกมาทำแบบนี้เราอยากให้รู้ว่าไม่ว่าอาชีพอะไรเราสามารถออกมาทำออกมาขายของมือสองที่เรามีอยู่ เราขายของแบบนี้เป็นเรื่องปกติ และเราก็ออกมาขายของเพื่อเป็นแบบอย่างที่อยากบอกใครที่มีของเยอะก็อย่าห่วงของเกินนะ เพราะถ้าเก็บไว้มันจะเสียของไปเปล่า ๆ แต่ว่าขายดีมากเลยนะคะ ขนาดที่เราขายแบบไม่แพงนะคะ เพราะเราทั้งขายทั้งแถม ขายอยู่สี่วันคือ ได้มาหลักแสนนะคะ

ที่ แตงโม เริ่มต้นออกมาขายคือ เราคิดเอง หรือว่ามีคนมากระซิบบอก หรือว่ามีอะไรมาจุดประกาย?
แตงโม นิดา : สิ่งนี้คือ โม คิดมา 5 ปีแล้วค่ะ เพราะว่าของที่ไม่ได้ใส่แล้ว หรือว่าใส่ใม่ได้แล้วเราก็เก็บไว้ในกระสอบ แล้วคือ ของมันเยอะมากแล้วก็วางไว้แบบไม่ได้ใช้นานมากแล้วเป็น 10 กระสอบเลย แล้วเราก็มีความรู้สึกว่าทิ้งไปมันก็ไร้ประโยชน์แบบนี้เราส่งต่อดีกว่าเพราะว่าบางคนก็อยากได้เสื้อผ้าของเราก็มีนะ แล้วเราก็ขายในราคาที่ไม่แพงมาก

พอไปขายคือ โม ไปหลงใหลในการเป็นแม่ค้าเลยใช่ไหม?
แตงโม นิดา : ใช่ค่ะ แล้วมีคนแนะนำว่าทำไม โม ไม่ขายทางออนไลน์ เพราะเรายังไม่รู้เรื่องระบบด้วย โม เลยขอไปลองลงตลาดดูก่อนเพราะเราจะได้พบได้คุยได้เจอกันกับแฟน ๆ แบบต่อหน้าต่อตา แล้วทีนี้หลายคนติดช่วงโควิดเขาไม่สามารถซื้อของเราได้ แต่เขาก็บอกว่าเขาอยากได้ของเรานะ อยากให้เราไลฟ์ขายของหน่อย ก็คิดว่าเร็ว ๆ นี้จะทำแบบออนไลน์ขึ้นมาค่ะ 

ขอบคุณคลิปจากรายการ ต้มยำอมรินทร์

วางแพลนคิดว่าจะมาเป็นแม่ค้าแบบนี้แล้ว ถ้าสมมติว่าเสื้อผ้าของเราขายหมดแล้วเราคิดว่าเราจะทำแบรนด์ของเราออกมาขายเองเลยไหม?
แตงโม นิดา : มีเคยคิดค่ะ ตอนนี้ก็ดู ๆ ช่างมาตัดให้เหมือนกันแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างยังไงเพราะว่าเพิ่งเริ่มเอง เพราะตอนนี้ยังพอมีเสื้อผ้าที่จะยังไลฟ์ก่อนคงเอาตรงนี้ไปก่อนค่ะ เดี๋ยวต่อไปถ้าทำแบรนด์คงเป็นขั้นตอนต่อไป

โม อยากพูดอะไร ตอบอะไรกับคนที่เคยพูดว่าเรา ตกอับบ้าง หรือ หลาย ๆ คนที่คิดว่าอยากลุกขึ้นมาทำแต่กลัวคนมองว่า ตกอับ?
แตงโม นิดา : สิ่งนี้แหละที่สำคัญที่สุด คือ การนำเสนอข่าวในบ้างครั้งบางทีต้องตรวจทานถ้อยคำว่ามันจะไปกระทบหัวใจของคนที่เขาอยากจะลุกขึ้นไปต่อสู้ไหม ถ้าเกิดบ้างคนที่เขากำลังแย่จริง ๆ อย่างนี้ แล้วเขาเจอคำพูดแบบนี้ การเป็นแม่ค้าคือ การตกอับ ก็แปลว่าแม่ค้าทั้งประเทศจะกลายเป็นว่าฉันถูกบูลลี่หรือเปล่าอาชีพฉันไม่เป็นที่ยอมรับเหรอ ฉันเป็นคนตกอับหรือเปล่า เขาจะไม่เห็นคุณค่าของตัวเองแล้วเขาจะไม่มีความสุขตรงนี้สำคัญมาก ๆ เพราะสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่แบบนี้ ตรงนี้เราต้องเต็มเติมใจให้กัน

ทุกคนมีคุณค่าเมื่อทำงานแล้ว แตงโม ก็ลุกขึ้นมาทำงาน แต่เวลาว่างของเธอขาเขียวไปหมดเพราะไปเล่น เซิร์ฟสเก็ต เพราะต้องการลดน้ำหนักด้วยไหม?
แตงโม นิดา : จริง ๆ ก็ตั้งใจลดน้ำหนักด้วยค่ะ เพราะเมื่อก่อนหนักอยู่ 48 – 49 แล้วเราก็กระโดดไป 54 – 55 ได้เพราะว่าช่วงโควิดแรก ๆ คือเรา นอนกับกิน อย่างเดียวเลย แล้วกำลังกายคือ ไม่เคยออกทั้งชีวิตคือ ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วคุณเบิร์ด เขาก็บอกเราว่าเธอจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ร่างกายจะไม่แข็งแรงเลย เธอต้องอออกมาออกกำลังกายโรคภัยถึงจะหายแล้วร่างกายของเราก็ดีขึ้นจริง ๆ แล้วเราก็ควบคุมการกินของเราไปด้วยจากการเล่น เซิร์ฟสเก็ต นี่เลยค่ะ 

ต้องถามในเรื่องของลูกที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าลูกมาจากไหน?
แตงโม นิดา : คือ ไม่ได้ท้องนะคะ แต่ลูกจะมีความหน้าคล้าย โม อยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้วแม่ของน้องก็คือ เพื่อนของโมตั้งแต่เด็ก ๆ เลยคบกันมาถึงตอนนี้ก็เข้าเลขสามแล้วก็ยังคบกันอยู่ แล้วเขาก็เป็นผู้จัดการส่วนตัวของโมด้วยค่ะ แล้วคือเพื่อนของ โม เขาก็ได้เลิกเลยกับคุณพ่อของน้องเขาไปเราสองคนเลยตั้งใจที่จะเลี้ยงเขา ช่วยกันเลี้ยงเขามาค่ะ เหมือนเราเป็นคุณพ่อ เขาอีกคนเพราะว่าเราไม่ได้ให้นมเขาไงคะ (หัวเราะ) และเราก็ตั้งใจว่าเราจะสอนเข้าให้เหมือนที่คุณพ่อของเราเคยสอนเราไว้บางส่วนนะคะ เช่น การศึกษาต้องสนับสนุนเต็มที่ กีฬาต้องสนับสนุนเต็มที่ แล้วลูกคิดอะไรยังไงต้องให้อิสระกับเขาอย่างเต็มที่และเคารพในการตัดสินใจของลูก เรื่องการออมเงินสำคัญมาก หลาย ๆ เรื่องที่พ่อพยายามปลูกฝังมาให้ โม เราก็พยายามที่จะถ่ายทอดให้เขามากที่สุด เพราะ โม รู้สึกว่าที่พ่อเลี้ยง โม มาถึงทุกวันนี้ เห็นไหมค่ะว่าไม่ว่า โม จะเจออะไรจะผ่านมันมาได้หมดเลยเพราะฉะนั้นลูกต้องเข้มแข็งกว่า โม อีกเพราะว่าโลกในอนาคตมันจะน่ากลัวกว่านี้อีก 

ตอนนี้ลูกกี่ขวบแล้ว แล้วเป็นยังไงบ้างที่เราต้องเลี้ยงเด็ก?
แตงโม นิดา : ตอนนี้ 4 ขวบแล้วค่ะ แต่ช่วงคลอดคือ หนักเลยเพราะว่าเด็กเล็กเขาจะไม่ค่อยนอนเพราะว่า 2-3 ชั่วโมงเขาจะตื่นมากินนมแล้วคุณแม่ของเขาก็คือ ตื่นมาให้นม แล้วเราคือคนที่กล่อมให้เขานอน ในเรื่องหลัก ๆ แล้วโม อยากให้เขามีสายสัมพันธ์กับคุณแม่ของเขาให้แบบแนบแน่นเหมือนที่ โม กับ คุณพ่อ มีให้กันคือ เราทำอะไรก็จะเป็นเพื่อนกัน โม ก็จะคอยซัพพอร์ตเรื่องการเงินทุกอย่างของเขา แต่ตอนนี้ก็แอบมีความกังวลนิด ๆ ในช่วงโควิดกับเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะว่าเราต้องการที่จะให้เขาเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพราะว่าเรามองไว้ว่าเพื่อในอนาคตที่เขาอาจจะมีชื่อเสียงอะไรขึ้นมาภาษาคือสิ่งที่สำคัญ แต่เราจะส่งเขาไปเมืองนอกคงไม่ไหว แต่เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลย ณ ตอนนี้นะคะ ว่าเราจะเข้านานาชาติแล้วเพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าระบบโรงเรียนจะเรียนผ่าน Zoom ไปนานแค่ไหน 

มีลูกแล้วทำให้ชีวิตของ โม เปลี่ยนไปเยอะไหม?
แตงโม นิดา : ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่ามากขึ้นค่ะ เพราะเรารู้เลยว่าเราต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ไปจนตาย เพราะฉะนั้นเราจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลย แล้วอีกอย่างคือ ลูก เขาก็ช่วยโม มาก ๆ ในมุมอาการซึมเศร้าของเราเพราะว่าเวลาที่เราเลี้ยงเขาคือ เราจะอ่อนแอไม่ได้ ถ้าเรารู้สึกอ่อนแอเราจะแยกตัวออกห่างจากเขาเลย และเวลาที่เราอยู่กับเขาเราจะทำตัวให่อายุเท่า ๆ กับเขาเพื่อให้เขาไว้ใจเรามากที่สุด

อัปเดตนิดได้ไหมเรื่องอาการซึมเศร้าของเราตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
แตงโม นิดา : ตอนนี้ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วนะคะ เพราะเมื่อก่อนบอกได้เลยว่าชีวิตปกติของ โม มีแค่ 30  เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือคือ นอนจมอยู่กับที่เตียงข้างตู้เย็น ไม่ทานข้าว ไม่อาบน้ำ ไม่ขยับตัวแบบเราจะฆ่าตัวตายได้เลย เราเป็นแบบนั้นเป็นปีเลยนะคะ แล้วคือ เพื่อน ๆ ก็ต้องสลับวันกันมาดูว่าเรายังอยู่ไหม ซึ่งเราก็ยอมรับคนแรก ๆ ของวงการเลยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าเพราะว่าอาการนี้มันาเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งอาการนี้อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของหมอนะคะ คือ มีทั้งกินยา และ จิตแพทย์บำบัด ส่วนตัวก็มีค่ะ แต่ที่มีชีวิตปกติแค่ 30  เปอร์เซ็นต์ เพราะช่วงนั้นคือ เลิกกับแฟนคนก่อนแล้วก็คุณพ่อป่วยมากแล้วเราก็จิตนาการไม่ออกว่า โม กับ พ่อ จะจากกันได้ยังไงจะตายจากกันตอนไหนไม่เคยคิดเพราะด้วยความที่คุณพ่อเขาเป็นคนที่อายุมากก็จริงแต่เขาเป็นคนที่แต่งตัวเราก็จะมองว่าเขาไม่แก่แข็งแรงตลอด ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาบอกว่าข้างในเขาไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้วนะ เพราะคุณพ่อก็  71 แล้วและเราก็ไม่ทันตั้งตัวเลย มะเร็ง ปอดรั่วแบบเรารับไม่ได้เลย เราไม่สามารถร้องไห้ให้พ่อเห็นได้เลย

แล้วอะไรที่ทำให้ โม ตอนนี้อาการคือดีขึ้นมาถึง 90 เปอร์เซ็นต์เกิดจากอะไรวิธีคิด หรือยาหรืออะไร?
แตงโม นิดา : ทุกอย่างเลยค่ะ เพราะว่าเราต้องรักษาสารเคมีในสมอง ของโม ที่ดีขึ้นเพราะเป็นความรักของคนรอบตัว กับ ความรักจากพะเจ้าพอเราเข้าใกล้ศาสนามากขึ้นความทุกข์จะเบาลงไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม แต่สำหรับศาสนาคริสต์คือไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดเราก็ไม่ต้องไปห่วงอะไรคุณพ่อเพราะคุณพ่อไปอยุ่กับพระเจ้าบนสวรรค์แล้ว ทำให้เราไม่ร้องไห้ขอพ่อคืน แต่ทุกวันนี้อะไรที่เป็นของคุณพ่อก็ต้องวางอยู่แบบเดิมห้ามย้าย แล้วก็ลูกคือส่วนสำคัญที่ทำให้ โม หายดีแล้วก็ คุณเบิร์ด คือหนึ่งแรงสำคัญที่ทำให้ โม หายดีนอกจากนั้นคือ เพื่อน ๆ ผู้จัดการ แม่บ้าน คือ คนข้าง ๆ ตัวโม คือ ดีหมดเลย ตรงนี้โม ว่าคือ ส่วนสำคัญมากเพราะคนรอบตัวต้องพยายามศึกษาว่าถ้าอยู่กับคนที่ป่วยโรคนี้ต้องทำตัวยังไงบ้าง คือ คำว่า สู้ ๆ ตัดทิ้งไปเลยนะคะ เพราะว่ามันสู้ไม่ได้ เพราะถ้าสู้ได้เราจะไม่มานอนไม่มาเป็นอยู่แบบนี้หรอก เพราะคนที่ฟังเขาจะรู้สึกว่าไม่เข้าใจโรคที่เขาเป็นอยู่หรอก เพราะสู้ไม่ไหวจริง ๆ เพราะมันเป็นเรื่องสารเคมีในสมองที่จะแบบมันสั่งให้เราไม่ทำอะไรเลย แต่ให้ใช้คำว่า อดทน นะ 

แล้ว คุณเบิร์ด มาช่วยเยียวยาอะไรให้ โม บ้าง? 
แตงโม นิดา : เราดูที่เจตนาของเขาค่ะ ที่เขามารักษาดูแลเรา

ไปเจอกันยัง?
แตงโม นิดา : เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไปเดินเจอกันที่ห้าง ห้างหนึ่งที่ยาวที่สุดในประเทศแล้วเขาก็ช่วยรุ่นพี่ขายของอยู่เขาก็เห็นเราตอนลงบันไดมา แล้วเราก็เห็นสายคนคนหนึ่งเขาก็สเปคเรา จากที่เจอกันครั้งแรกก็มีการแลกไลน์กัน แต่สมัยนั้นเราคงคิดไปเองว่าเราสวยมากเป็นเทพธิดาเลยไม่ค่อยได้คุยกับเขาเท่าไหร่ พอเวลาผ่าน ๆ ไปจนโม แต่งงานแล้วก็เลิกกัน แล้วก็มีแฟนใหม่ แบบต่างคนต่างไปใช้ชีวิตจนล่าสุดที่ โม โสด คือ ช่วงที่ โม เป็นโรคซึมเศร้าหนัก ๆ คือ อยู่ดี ๆ ก็มีไลน์เด้งขึ้นมา แล้วก็มีข้อความว่า กราบสวัสดี จำเราได้ไหม เราก็ใคร เขาก็บอกว่า เบิร์ด เราก็จำได้ว่าเป็นเขาเพราะว่าในชีวิตของเราไม่มีเพื่อนชื่อเบิร์ด เลย เขาก็ถามไถ่อัปเดตเราก็ได้คุยกัน หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมาดูแลเราด้วยการเอาน้ำเต้าหู้มาแขวนไว้ที่บ้านแล้วก็ไป มาแขวนไว้อย่างเดียวจริง ๆ โดยที่ไม่หวังอะไรเลยเพราะตอนนั้นคือ สภาพเราบอกได้เลยว่าใครสามารถทำอะไรกับเราก็ได้เพราะว่าเราชีวิตของเราปกติน้อยมาก แต่เขาก็พาเราออกไปเจอไปเห็นกับสิ่งอะไรที่ไม่เคยเห็น เขาพยายามพาเราออกไปจากที่เดิม ๆ ไม่ให้เรานอนจมอยู่กับที่เราก็ค่อย ๆ ดีขึ้น แล้วจากการดูแลของเขามันไม่ใช่ความโรแมนติกอย่างเดียว เขายังให้ความอบอุ่น เหมือนพ่อดูแลลูกเลยแล้วก็ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ยังไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว เขาเป็นคนแรกในชีวิตเลยที่ไม่ทะเลาะกัน มันเลยมีความรู้สึกว่าเราไม่มีขยะที่จะต้องเอามาเก็บไว้ในใจเลยการซึมเศร้ามันก็เลยคลาย เพราะเรื่องพ่อเราเราทำใจได้แล้ว เรื่องลูกเราก็วางแผนให้เขาไว้แล้ว เราตัวเราเอาไว้ทีหลังก่อนก็ทำงานทำอะไรไป แต่พอเรื่องความรักถ้าเราได้แฟนดีคือ ทุกอย่างจบเลยนะคะ แต่ในอนาคตเราก็ไม่รู้ได้นะคะใครจะเปลี่ยนแปลงหรืออะไรไปยังไง แต่คิดว่าถ้าพื้นฐานมันเริ่มมาดีเวลาที่เราพูดคุยดี 

พูดคุยกันเรื่องแต่งงานหรือยัง?
แตงโม นิดา : อันนี้คือ ไม่อยากให้คิดตามนะคะ คือ ต้องยอมรับว่าเราอยู่ด้วยกันก่อนแต่งไปแล้ว เราคิดว่าเราลองทดลองอยู่ก่อนแต่งกันไปก่อนเราก็อยู่กันมาได้ 1 ปีก็เลยนะคะ เรื่องการแต่งงานไม่ได้จำเป็นสำหรับ โม เท่านั้นเพราะนอกจากเราจะเอาเงินไปทิ้งแล้วก็ไม่มีใครสามารถมาร่วมงานเราได้หรอก แต่ถ้ามันจำเป็นต้องจัดต้องแต่งด้วยความประสงค์ของผู้ใหญ่อะไรก็ตาม ก็คงจัดเพื่อให้รู้นิดนึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก แล้วเขาก็เอ็นดูมากกับลูกเรา แต่ถึงเรามีสัญชาตญาณในความเป็นแม่ก็จริง แต่เพราะว่าเราให้ อลิสเตอร์ ไปหมดใจแล้วเรากลัวว่าเราจะไม่สามารถให้ลูกเท่าเขา แล้วอีกอย่างคือ โม กลัวหุ่นเจ๊งเพราะรู้ตัวเองจริง ๆ ว่าเป็นคนไม่มีระเบียบวินัย 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :

กดเลย >> community แห่งความบันเทิง 📸เมาท์ข่าวดารา กับเจ๊รุงรังขังรวม
ทั้งข่าว หนัง ซีรีส์ 🍿ละคร ดนตรี และศิลปินไอดอล 😍ที่คุณชื่นชอบ บนแอปทรูไอดี