สถานการณ์ของโลกเราในปัจจุบันทำให้นึกถึงเรื่องราวของหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ซึ่งอ่านแล้วรู้สึกว่าเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมาก นั่นคือ “The Maze Runner เกมล่าปริศนา ตอน ไข้มรณะ” เขียนโดย James Dashner แปลโดย แสงตะวัน เป็นเรื่องราวภาคต่อของกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ความทรงจำขาดหายและอาศัยอยู่ในวงกต วันหนึ่งพวกเขาพากันหนีออกจากวงกตเพราะสัตว์ประหลาดนามว่า “โศกา” เมื่อออกมาจากวงกตได้พวกเขาก็ได้รู้ความจริงที่ว่า “โลกเปลี่ยนไปแล้ว” ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการลุกวาบของดวงอาทิตย์ ความร้อนทำลายโลก อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงและสิ่งมีชีวิตล้มตายกันมากมาย แต่ทุกคนก็ยังสงสัยว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงถูกส่งตัวไปอยู่ในวงกตด้วยองค์กรที่ชื่อว่า “วิคเค็ด”สำหรับเรื่องราวในเล่มสุดท้ายนี้นั้นกลุ่มของโทมัสเด็กชายวัยรุ่นได้รู้ความจริงเพิ่มเติมคือ หลังการลุกวาบและดวงอาทิตย์ทำลายโลกไป มีการสร้างอาวุธชีวภาพเพื่อควบคุมจำนวนประชากรให้เพียงพอกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เชื้อตัวนั้นคือ “ไข้วาบ” ด้วยความที่เชื้อไข้วาบถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เป็นอาวุธชีวภาพ และกระจายอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนติดเชื้อกันไปมากและทางรัฐบาลรวมตัวกันเพื่อหาทางรักษา โดยการนำผู้ที่มีภูมิคุ้มกันมาทำการทดลองโดยการทดลองแต่ละด่านนั้นมีผลต่อสมอง เนื่องจากเชื้อตัวนี้มีผลต่อสมองโดยตรง ใครที่ติดจะทำให้กระบวนการทำงานของสมองแปรปรวนจนกระทั่งไม่เหลือความรู้สึกนึกคิดของการเป็นมนุษย์อีก และนั่นคือ สาเหตุที่โทมัสและเพื่อน ๆ ถูกนำมาทดลองเพื่อให้ได้มาซึ่งการรักษา เพราะพวกเขาคือพวกมีภูมิคุ้มกัน แต่การทดลองต้องมีตัวแปร ซึ่งในกลุ่มพวกเขากลับมีทั้งคนที่มีภูมิคุ้มกันไข้วาบ และ ไม่มีภูมิคุ้มกัน หนึ่งในนั้นคือ เพื่อนสนิทของเขา “นิวท์” จากตรงนี้อ่านแล้วก็ให้ความรู้สึกหดหู่เหมือนกันกับการที่เราต้องรู้ความจริงว่าเพื่อนกำลังจะตาย และเป็นการตายที่โหดร้ายนัก เพื่อนจะเปลี่ยนสถาพไปโดยสิ้นเชิง เริ่มจากอารมณ์แปรปรวน ความจำเสื่อมและไม่มีความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์อีกต่อไปและเพื่อนก็ขอร้องครั้งสุดท้ายให้เราเป็นปลดปล่อยเขาจากความทรมานนี้ ให้เราฆ่าเขาเป็นคุณจะทำหรือไม่ในช่วงท้าย ๆ ของเรื่องราวทั้งหมด พวกโทมัสที่เหลือได้รวมกำลังคนที่มีภูมิคุ้มที่ถูกจับตัวไปทดลองเพื่อทำการหนีออกจากองค์กรวิคเค็ดและไปยังสถานที่ใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าการค้นพบวิธีรักษามีน้อยมากและการทดลองนี้ไม่ได้มีประโยชน์เลยเป็นการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์โดยสิ้นเชิง การทดลองที่พวกเขาจะต้องตายเพราะสมองของเขาจะถูกนำออกมาวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการรักษา ซึ่งหากไม่พบพวกเขาก็ต้องตายไปอีกหลายคน เขาไม่สามารถเห็นเพื่อนตายจากไปได้อีกแล้ว ด้วยความพยายามที่จะมีชีวิตรอดพวกเขาฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง จากคนขององค์กร จากผู้ติดเชื้อที่กลายเป็นบ้าไป จากความโศกเศร้าของการสูญเสียเพื่อนรัก ในที่สุดพวกเขาก็สามารถไปอยู่ยังที่ใหม่ และรักษาทรัพยากรมนุษย์ที่มีภูมิคุ้มกันนี้ไว้ได้บางครั้งนิยายที่ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการก็มีส่วนคล้ายกับโลกแห่งความเป็นจริง เหมือนที่เราได้อ่านจากหนังสือเล่มนี้การเกิดโรคระบาดที่กระจายตัวอย่างรวดเร็วถูกสร้างจากฝีมือมนุษย์เพียงเพื่อจำกัดจำนวนมนุษย์ ในรูปแบบธรรมชาติคัดสรรร ใครมีภูมิคุ้มกันก็รอด แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่อยู่รอดและไม่สามารถที่จะควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อนั้นได้ และในเรื่องของการรักษาโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการนำผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไปทดลองแบบนั้นเลย จริงอยู่ที่ว่าถ้าสามารถหาทางรักษาได้การเสียสละก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ามันล้มเหลวก็เท่ากับว่าเราต้องสูญเสียคนคนหนึ่งไปเลย เราควรหาวิธีการหยุดการแพร่กระจายของเชื้อได้ดีกว่าการค้นหาวิธีการรักษา รวมถึงให้ความรู้และสนับสนุนในเรื่องของการป้องกันเชื้อและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่เหลืออยู่ เพื่อให้ “โลก” ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” สำหรับใครที่ต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ แนะนำซื้อครบเซ็ตเลยมีทั้งหมด 3 เล่ม เพื่อความสนุกที่ต่อเนื่อง สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปหรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ และยังมีเล่มแยกอีก 2 เล่มด้วยเป็นการพูดถึงเรื่องราวก่อนการลุกวาบของดวงอาทิตย์ ทาง Knight-errant จะมารีวิวให้ได้อ่านกันอีกนะคะภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน