เครดิตภาพ LionGateเดินทางมาถึงภาคสุดท้ายกันแล้วนะครับสำหรับนิยาย The Hunger Game หลังจากภาคที่แล้วค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย ไม่เป็นไร มาเริ่มกันใหม่ ให้โอกาสทีมงานหน่อยสำหรับเรื่องราวของ Mockingjay Part 2 เล่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของ แคทนิส เอเวอร์ดีน (Jennifer Lawrence) ที่มีอนาคตของชาวพาเน็มเป็นเดิมพัน โดยครั้งนี้เธอร่วมมือกับสหายคนสนิทอย่าง เกล(Liam Hemsworth ) , ฟินนิค (Sam Claflin) และพีต้า (Josh Hutcherson) ในภารกิจคืนเอกภาพให้กับเขต 13 และร่วมเผชิญหน้ากับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ผู้หวังทำลายชีวิตเธอให้ย่อยยับ โดยเป้าหมายสำคัญคือการปิดฉากการข่มเหงจากพวกกลุ่มแคปปิตอลพอจบพาร์ท 1 ก็เกิดอาการค้างเติ่งไปพักใหญ่ แต่การรอคอยย่อมมีวันสิ้นสุดครับในที่สุด พาร์ท2 ก็กลับมาตามการรอคอยของผมซักที เป็นการแจ้งเกิด เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ พลิกชีวิตเธอให้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการฮอลลีวู้ดในบทบาทของแคทนิสในระยะเวลาไม่นาน เครดิตภาพ LionGatePart 2 คือสามารถใช้คำว่าครบทุกรส แต่ด้วยความที่ไม่ดีทางใดทางหนึ่ง มันเลยไม่สุดไปซะอย่างนั้น คนที่เป็นแฟนนิยายเรื่องนี้คงคิดว่า ทำไมต้องสร้างPart 2 ด้วย ในเมื่อสามารถอยู่พาร์ทเดียวกันได้ แต่ลองคิดอีกแง่คือ หนังได้รายได้คูณสองเท่า ค่ายหนังรับรายได้ไปเต็ม ๆ นักแสดงได้ค่าตัวเพิ่มเพราะถือเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง แต่เหมือนเอาเปรียบผู้บริโภค เพราะคนที่ดูหนัง มันก็ต้องดูให้จบใช่ไหมละครับ ขยายแล้วไม่ใช่ว่าดีขึ้น แต่ก็ไม่แย่ถึงขั้นว่าล้มเหลว แต่ผมว่า Part 1 กลับดีกว่า Part 2 ไปซะได้ Part 2 ยัดเรื่องราวการเมืองเข้ามาอย่างดุเดือด ชิงอำนาจ ปกครองแบบเผด็จการ แต่ข้อเสียตรงที่หนังเดินเรื่องอืดเกินไปหน่อย คือสิ่งที่คงแก้ยากแล้วกับทั้ง 2 Part ถ้าคิดว่าการขายตัวละครให้ดูน่าสนใจเพื่อปกปิดความอืดของหนัง มันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ครับ เพราะไม่ใช่คนดูทุกคนจะอินไปกับตัวละคร หนังเน้นฉากบู๊ ยิงกันสนั่นจอ หนังกลับมาเข้าที่เข้าทางได้ในช่วงท้ายด้วยฉากไปเผด็จศึกตัวปธน. สโนว์เครดิตภาพ LionGateเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เธอทำได้ดีตามมาตรฐาน และหนังก็มีประเด็นรักสามเศร้าเข้ามาแทรกด้วย แต่ผู้ชายทั้งสองคน กลับไม่ได้แสดงบทบาทที่ได้รับให้ดีเท่าที่ควร มันเลยไม่รู้สึกว่าซีนรักสามเศร้า มันน่าอิน หรือน่าจดจำเท่าไหร่คะแนนเนื้อเรื่อง 7/10 ถึงจะเป็นภาคจบ แต่หนังกลับไปเอาฉากที่ยืดยาวจนน่าเบื่อออกไปเลย มันเลยทำให้ผิดหวังนิดหน่อย แต่บทลงเอยฉากสุดท้าย ก็ถือว่าทำได้น่าจดจำ และให้เป็นตำนานได้อยู่ คงต้องยกความดีความชอบให้เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงนำที่แทบจะต้องแบกหนังทั้งเรื่องไว้แต่เพียงผู้เดียว โดดเด่นในเรื่องของการแสดงและอารมณ์ที่สื่อออกมาเครดิตภาพ LionGateข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์1.การลุกขึ้นสู้ของลูกผู้หญิง ที่ผ่านมา ทุกคนต้องอยู่ภายในการปกครองของพวกแคปิตอลมาตลอดหลายปี ไม่มีใครคิดจะลุกขึ้นต่อต้านเลย แต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเป็นทาสการปกครองแบบเผด็จการอีกต่อไป ทำให้คนที่ไม่มีทางสู้ หมดความอดทน กัดฟันกันขึ้นมาต่อสู้ โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสชนะรึเปล่า2. สามัคคีคือพลัง การล้มล้างระบอบเผด็จการของพวกแคปิตอลจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดความช่วยเหลือของเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน จับมือกัน วางแผนกันต่อสู้ เพื่อล้มล้างระบบแบบนี้ออกไป เพื่อจะให้ชีวิตทุกคนมีความสงบสุขกันซะที ก็ทำให้รู้สึกฮึกเหิม และปลุกใจได้ในระดับหนึ่งเลยนะครับจบไปแบบสวยใช้ได้เลยครับสำหรับตำนานThe Hunger Games แม้ว่าจะมีสะดุดในส่วนของความอืดของหนัง แต่ถ้ามองข้ามไป ถือเป็นหนังที่ทำจากนิยาย เรียกได้ว่าครบเครื่องส่วนสำคัญของนิยาย ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เกือบสมบูรณ์เท่าที่หนังจะทำได้เลยครับเครดิตภาพปก LionGate