Movie ReviewRain Town รอยร้าวในเงาฝน (2024)งานดราม่าครอบครัวเรื่องเยี่ยมประมาณภาพสะท้อนกระจกเงาที่ใกล้ตัวจนเหมือนสัมผัสได้...อาจดูเรียบง่ายแต่คมคายลีกซึ้งผู้เขียนเคยบ่นมาหลายครั้งแล้วกระมังว่าทุกชาติทุกภาษาที่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของตนเองย่อมต้องมีงานดีงานแย่ปะปนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคนดูอย่างเราๆจะได้เจอกับงานแบบไหนเหมือนที่ผู้เขียนเจอหนังเรื่องนี้เพราะความเข้าใจผิด เพราะหนังเรื่องต่อไปนี้เป็นหนังจากประเทศเพื่อนบ้านคือมาเลเซียที่ผู้เขียนยอมรับว่าผ่านตาหนังจากประเทศนี้มาบ้างก็ไม่ได้มีอะไรน่าประทับใจเป็นพิเศษ แถมถ้ารู้มาก่อนว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังมาเลเซียอาจลังเลที่จะดูเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาร่วมกันยังไม่ค่อยดีนัก ทว่าเมื่อตอนที่ผู้เขียนเปิดเจอสัมผัสทางสายตาชวนคิดว่าเป็นหนังไต้หวันด้วยโทนสีและภาษาจีนที่ผู้เขียนแยกไม่ออกว่าอันไหนจีนกลางอันไหนกวางตุ้งเพราะผู้เขียนเป็นชายกลางคนที่อยู่ภาคเหนือของประเทศไทย แล้วเมื่อเปิดดูด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นหนังไต้หวันแต่พลันที่รู้ว่าเป็นหนังมาเลเซียก็กลายเป็นว่าถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว แม้เวลาของหนังจะผ่านไปไม่นานแต่มีบางอย่างดึงดูดผู้เขียนให้ติดตามได้และอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนถึงตรงพื้นที่นี้ ไตปิงคือเมืองที่อยู่ในรัฐเประประเทศมาเลเซียโดยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ชุ่มชื้นที่สุดในประเทศด้วยความที่มีปริมาณฝนต่อปีมากจนได้ชื่อว่าเป็น Rain Town และเรื่องราวต่อไปนี้คือเรื่องของรอบครัวจูที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นชายชราเชื้อสายจีนคือจูกัมหวา (ชิวกินหวา) ที่มีภรรยาเป็นลูกครึ่งฝรั่งไอลีน (Susan Lankester) ทั้งคู่มีลูกสามคนคือไอแซค (ฟาเบียน ลู) ลูกชายคนโตที่เป็นแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลกับอเล็กซ์ (วิลสัน ลี) ลูกชายคนกลางที่ยังไม่มีงานทำและรูบี (พอลลีน ตัน) ลูกสาวคนเล็กที่ทำขนมขายแต่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวหัวเก่าเต็มที่โดยมีพ่อที่หัวโบราณออกแนวเผด็จการในบ้านที่ครอบงำทุกอย่างไว้โดยมีแม่ที่เข้าใจลูกๆคอยประคอง กระนั้นเมื่อทุกอย่างมันถูกกักขังความเก็บกดจึงต้องมาเมื่อลูกๆเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จึงเหมือนมีความอดทนอยู่ในบางอย่าง จนเมื่อความอดทนนั้นสุกงอมปัญหาจึงกลายเป็นรอยร้าวจนทำให้ครอบครัวที่น่าจะอบอุ่นเพียบพร้อมสุ่มเลี่ยงต่อการล่มสลายเพราะใคร...เหมือนร้อยเรียงชีวิตจริงที่เหมือนจริงจนจะเอื้อมมือไปสัมผัสได้ประมาณภาพสะท้อนในกระจกเงา นี่คือหนังที่เหมือนกับดูครอบครัวจีนหัวเก่าที่อยู่ข้างบ้านมากกว่าการดูภาพยนตร์สักเรื่องเพราะบทหนังเหมือนกับหยิบเอาเรื่องจริงมาเล่า แน่นอนที่มันออกมาจริงปานนี้คงเพราะเรื่องแบบนี้มีให้เห็นทั่วไปในสังคมโดยเฉพาะบ้านเราและบ้านเขาที่มีบางอย่างทางบริบทใกล้เคียงกันทำให้เหมือนใกล้ตัวจนเกือบเอื้อมมือไปสัมผัสได้ แน่นอนอีกเช่นกันที่บทหนังตั้งใจมาเป็นกระจกสะท้อนสังคมปัจจุบันที่การปะทะกันทางความคิดของคนสองรุ่นที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเชิงทัศนคติ ที่เหมือนเป็นการมองภาพสะท้อนของครอบครัวเชื้อสายจีนจริงๆที่เคร่งขนบและหัวโบราณที่กลายเป็นความล้าหลังในทัศนคติของคนรุ่นใหม่ และเพราะนี่คือหนังดราม่าครอบครัวที่หยิบเอาเรื่องทั่วไปเรื่องของชนชั้นกลางที่เหมือนมีครอบครัวในอุดคติแต่มีบางอย่างซ่อนไว้ในความปกติ จึงเหมือนกับเป็นร้อยร้าวที่อยู่ในเงาฝนของเมืองแห่งสายฝนคือไตปิงได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกครอบครัวย่อมมีปัญหาแต่ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ไหนจำต้องเรียนรู้และเข้าใจให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะทุกปัญหาต้องมีสาเหตุและแรงดึงดูดของหนังคือสาเหตุนั้นที่ควบคู่ไปกับการเห็นรอยร้าวที่ค่อยๆชัดขึ้น และอยากรู้ว่าบั้นปลายจะเป็นยังไงที่จะมีสองทางคือแตกสลายไปหรือประคองไว้ได้ให้เป็นแค่รอยร้าวไว้เตือนใจ แต่หนังยังใจดีที่เลือกทางหลังเพราะต้นตอของปัญหาได้ย้อนกลับมามองตัวเองในยามวิกฤติที่ตนไม่สามารถควบคุมอะไรได้อย่างที่คิดแล้วและรู้ตัวว่าอะไรคือตัวปัญหา ซึ่งความหวังดีไม่ใช่เรื่องผิดแต่ความผิดใหญ่หลวงคือการไม่รับฟังใครไม่สนใจความฝันของลูกๆจนความหวังดีนั้นเป็นความสุขของตนเองที่เป็นความเห็นแก่ตัวที่โยนความต้องการของตนเองให้ลูกๆแบก สุดท้ายเมื่อทุกอย่างจวนจะสายเกินไปจำต้องเรียนรู้และเข้าใจแม้จะเจ็บปวดแต่บางอย่างก็ไม่อาจหวนคืนจึงต้องเรียนรู้และเข้าใจ ว่าชีวิตอาจไม่ต้องมองหาความสุขในอุดมคติที่สมบูรณ์แบบจนมองข้ามความงามที่อยู่ในความจริงอันไม่สมบูรณ์แบบนั้นความยอดเยี่ยมของหนังมาจากความเป็นคนธรรมดาจนเหมือนเป็นครอบครัวทั่วไปที่เห็นได้ทุกเมื่อเชื่อวันของทีมนักแสดง ข้อดีของหนังเรื่องนี้คือบทที่ธรรมดาสามัญจนกลายเป็นชีวิตคนธรรมดาที่สามารถพบเห็นได้ตามตลาด นี่คือหนังที่เล่าเรื่องของครอบครัวชนชั้นกลางไม่ใช่คหบดีที่ไหนนักแสดงจึงต้องกลายเป็นคนธรรมดาและส่วนที่ดีเลิศคือการที่ผู้เขียนไม่เคยดูนักแสดงเหล่านี้ในหนังเรื่องอื่นมาก่อน นั่นหมายความว่านี่เหมือนไม่ใช่การแสดงแต่เป็นเหมือนการดูครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปที่สามารถเห็นได้จากครอบครัวจริงๆที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นคนเชื้อสายจีนหัวเก่า ที่อาจเป็นครอบครัวเราเองหรือเป็นของคนใกล้ตัวคนรู้จักแต่อย่างน้อยจะต้องได้สัมผัสมาบ้างยิ่งทำให้การดูหนังเรื่องนี้เป็นความสามัญดั่งชีวิตคนจริงมากกว่า และการแสดงที่ต้องยอมรับว่ามีเสน่ห์ในแบบคนธรรมดาของนักแสดงรุ่นหนุ่มและความเฉียบขาดของนักแสดงรุ่นใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างชิวกินหวา และ Susan Lankester ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน กลายเป็นงานนอกสายตาแต่สร้างความประทับใจแม้ว่าจะคล้ายกับหนังไต้หวันมากจนเกือบคิดว่าใช่ ความจริงผู้เขียนก็พอเคยดูหนังมาเลเซียมาบ้างแต่ความรู้สึกบางอย่างไม่ใช่แบบนี้ทั้งโทนเรื่องการเล่าเรื่องบทหนังและโทนสี หรืออาจมีหนังมาเลเซียดีๆแบบนี้แต่ผู้เขียนไม่เคยดูก็ไม่ทราบแต่หนังเรื่องนี้อาจต้องยอมรับว่าสัมผัสทางใจเหมือนหนังไต้หวันมากอาจเพราะพูดภาษาจีน (ปนอังกฤษ) หรืออาจเพราะหนังเล่าเรื่องของครอบครัวจีนชนชั้นกลางที่เห็นบ่อยๆในหนังไต้หวันง่ายๆคือดูแล้วก็คิดถึง A Sun (2019) หรือ Little Big Women (2020) เพราะเนื้อหาว่าด้วยปัญหาที่ซ่อนอยู่ในความปกติของครอบครัวที่ฉากหน้าเหมือนเป็นครอบครัวในอุดมคติที่สมบูรณ์แบบ เพราะพ่อที่ทำงานจนเกษียณมีลูกคนโตเป็นหมอลูกๆอีกสองคนเรียบจบปริญญาที่เป็นที่น่าภาคภูมิใจแต่หารู้ไม่ว่าความฝันและชีวิตเป็นเรื่องของใครของมันที่จะต้องไล่ตามและแบกรับด้วยตัวเอง เพราะการมีลูกเลี้ยงดูลูกเพื่อให้ลูกมีความสุขมิใช่เพื่อให้ลูกทำเพื่อเรามีความสุขด้วยการแบกภาระความฝันของคนรุ่นเราหนังอาจกำลังบอกกับเราแบบนี้ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 2,3,4 จาก Instagram paulinetlsภาพที่ 1 จาก Instagram currentpicturesเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !