Short Commentมนต์รักนักพากย์ (2066)จดหมายเหตุแห่งภาพยนตร์ที่เนี้ยบทุกอณูความรู้สึกจนเป็นอีกหนึ่งบันทึกแห่งความทรงจำกับหนังไทยถ้าเป็นท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามอ่านงานเขียนของดูไปบ่นไปมานานหรืออาจมีบ้างบางท่านที่ติดตามอ่านมาตั้งแต่ใช้นามปากกาว่าคนรักหนัง (ที่มีมิตรสหายตั้งให้) ก็คงพอทราบว่าผู้เขียนมักจะเลี่ยงการเขียนถึงหนังหรือซีรีส์ไทยอยู่เสมอเพราะเหตุผลส่วนตัว กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลยคือถ้าอดไม่ได้ก็จะมาร่ายยา;ตามสไตล์บ้างเพราะไม่ว่ายังไงหนังไทยก็คืออาหารประจำชาติที่อาจถูกปากบ้างไม่ถูกปากบ้างแต่ก็ต้องรับประทาน แน่นอนเมื่อได้ทานบางจานแล้วหัวใจและร่างกายมันอดไม่ไหวมิฉะนั้นจะอัดอั้นตันใจตายก็ต้องลุกมาเขียนถึงบ้างตามสมควร นั่นหมายความว่าหนังไทยหรือซีรีส์ไทยที่ผู้เขียนหยิบมาเขียนถึงต้องมีดีที่ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่เป็นหนังไทยเพียงไม่กี่เรื่องทีผู้เขียนนับวันรอ แน่นอนว่าชื่อของผู้กำกับคุณนนทรีย์ นิมิบุตรค้ำคออยู่แต่ที่ดึงดูดหัวใจของผู้เขียนได้มากกว่านั้นคือประสบการณ์ร่วมเพราะทันทีที่ได้ดูตัวอย่างผู้เขียนก็คิดว่าไม่มีทางพลาดเรื่องนี้ต่อให้อยู่ในยมโลกก็จะต้องดู เพราะผู้เขียนเองโตมากับสิ่งนี้นั่นคือหนังขายยาและต้องขอบคุณพี่อุ๋ยมา ณ ที่นี้ที่ทำให้ความทรงจำกระจ่างขึ้นมามานิตย์ (ศุกลวัฒน์ คณารศ) คือหัวหน้าหน่วยหนังเร่ขายยาและรับหน้าที่พากย์หนังจนได้ฉายาว่ามานิตย์ห้าเสียง มานิตย์มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์มอบความบันเทิงให้ชาวชนบทคือไอ้เก่า (จิรายุ ละอองมณี) คนฉายหนังและลุงหมาน (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) คนขับรถที่มีเพื่อนแท้ร่วมทางคืออีแก่รถฉายหนังที่พาพวกเขาตระเวนไปทั่วภาคเหนือตอนล่างเพื่อฉายหนังและขายยาให้กับพี่น้องในพื้นที่ห่างไกล จนวันหนึ่งมีนักพากย์หญิงมาสมัครเป็นนักพากย์ในทีมเพราะการพากย์เสียงหญิงชายด้วยคนคนเดียวไม่ได้รับความนิยมแล้วมานิตย์จำต้องแหกกฎบริษัทรับนักพากย์หญิงไว้คนหนึ่งคือเรืองแข (หนึ่งธิดา โสภณ) แล้วหนังที่ฉายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือหนังของพระเอกตลอดกาลมิตร ชัยบัญชาที่ชาวบ้านร้านตลาดชื่นชอบ ทว่าโลกที่หมุนไปทุกวันกลับไม่รอพวกเขาเมื่อเข้าสู่ยุคของหนังล้อมผ้าที่อาจต้องเสียเงินดูแต่หนังใหม่กว่าลีลาการพากย์เร้าใจกว่า กระนั้นของโบราณใช่ว่าไม่ดีเมื่อสิ่งที่พวกเขาทำคือความรักในการพากย์หนังซึ่งก็คือความรักในศาสตร์แห่งภาพยนตร์หน้าที่ของพวกเขาอาจมาก่อนความฝันดั่งเป็นจดหมายเหตุของความรักในภาพยนตร์จนก่อเกิดมิตรภาพทักทอเป็นความฝันและแรงบันดาลใจ บทหนังถูกร้อยเรียงออกมาไม่ต่างจากการบันทึกจดหมายเหตุแห่งยุคสมัยในช่วงเวลาที่เรียกกันว่ายุคทองของหนังไทยได้อย่างกลมกล่อม โดยมีศูนย์กลางหลักที่ไม่ต่างจากการรำลึกและเคารพเพราะเข้าฉายในเดือนตุลาที่เป็นเดือนที่ครบรอบการเสียชีวิตของพระเอกตลอดกาลมิตร ชัยบัญชา ทั้งยังใช้คำว่ามิตรมาเป็นความหมายเป็นปัจจัยทางหัวใจกับเรื่องของคนสี่คนที่ตะลอนไปมอบความบันเทิงให้กับคนในพื้นที่ไกลปืนเที่ยงเพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง จึงไม่ตางจากการเขียนบันทึกการเดินทางชีวิตช่วงหนึ่งของคนหนึ่งคนควบคู่กันไปและแน่นอนทุกอย่างต้องเกี่ยวพันกับหนังไทยและมิตร ชัยบัญชา ยิ่งการได้เปิดอ่าน (ดู) บันทึกจดหมายเหตุที่ว่านั้นจะสัมผัสถึงความรักต่อภาพยนตร์ไทยที่ผู้กำกับนนทรีย์ นิมิบุตรได้ลงอาคมไว้ให้หัวใจคนดูสัมผัสได้แม้จะไม่ใช้ดราม่ามาบีบหัวใจ แล้วเล่าผ่านความรักในสิ่งที่ทำเพื่อค้นพบว่าความฝันกับสิ่งที่รักนั้นจะเป็นอันเดียวกันหรือต้องค้นหาสิ่งที่รักก่อนจึงจะเห็นภาพความฝันและแรงบันดาลใจเนี้ยบทุกอณูจนลงลึกทางความรู้สึกที่หล่อหลอมหัวใจให้เห็นความสวยงาม นี่คือหนังที่เนี้ยบทุกอณูทั้งฉากที่เป็นภาพในอดีตที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ด้วยตาและความรู้สึกที่มีต่อหนังไทยที่เป็นนามธรรมที่สัมผัสได้ด้วยใจ ด้วยความยากลำบากในการเลี้ยงชีพในยุคนั้นที่สื่อสารผ่านการเร่ฉายหนังไปในทุกพื้นที่เพื่อที่จะทำยอดขายให้ได้ตามเป้าสิ่งที่ตามมาคือหัวใจจะรู้สึกว่าถ้าใจไม่รักกับสิ่งที่ทำจริงๆไม่มีทางที่มานิตย์จะทนทำสิ่งนี้ หรือกระทั่งการสื่อสารผ่านความเคารพในตัวมิตร ชัยบัญชาเมื่อมานิตย์ที่พากย์เสียงเขาทุกวันจึงไม่ตางจากมิตร ชัยบัญชาคือส่วนหนึ่งของชีวิต สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของรูปธรรมที่มองเห็นด้วยตาก่อนที่จะสามารถสัมผัสนามธรรมที่ต้องใช้ความรู้สึกกับการออกหน่วยครั้งสุดท้ายกับการพากย์หนังมนต์รักลูกทุ่งที่ตอนนั้นเป็นหนังเสียงแล้ว หรือการได้พบกับมิตร ชัยบัญชาที่ส่งต่อมายังภาพของแฟนหนังเรือนหมื่นเรือนแสนที่ร่ำให้หัวใจสลายเมื่อวันฌาปนกิจพระเอกในดวงใจที่ต่อให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ร่วมก็คงไม่มีทางอดกลั้นได้ นั่นเพราะความสวยงามของภาพยนตร์ที่มอบความบันเทิงให้กับมนุษย์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไม่มีเลือนหายหนังจะขุดความทรงจำที่สวยงามเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่คนเคยมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องที่เห็นตรงหน้าจะขอบตาอุ่นชื้น จากนี้ไปคือข้อเขียนจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆเพราะตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ความทรงจำที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกจะผุดขึ้นมา ทั้งการวิ่งตามรถหนังขายยาการได้ซ้อนจักรยานคันเก่าคร่ำคร่าของพ่อไปดูหนังที่ลานวัดที่ถ้าว่ากันตามเวลาจริงๆผู้เขียนยังเด็กเกินไปที่จะเสพซึ้งถึงเนื้อหาของหนังที่ฉาย แต่แม้จะไปเพื่อได้กินอ้อยควั่น (ที่เห็นในหนังนั่นเลย) หมึกย่างหนวดยาวๆเหนียวๆเคี้ยวจนปวดขมับและการได้มาคุยโม้ในชั้นเรียนว่าเมื่อคืนได้ไปดูหนังมา นั่นคือการบ่มเพาะความรักที่มีต่อการดูหนังของผู้เขียนอย่างชัดเจนกับทุกภาพในหนังที่เคยผ่านตามาและมันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเมื่อดูก็จะรำลึกถึงและการได้ดูหนังเรื่องนี้คือความสุขเกินบรรยายเพราะเล่าได้จนคนเคยผ่านช่วงเวลานั้นมาสามารถเก็บเกี่ยวความสวยงามทางความทรงจำนั้นไว้ได้อีกครั้ง เช่นกันหนังก็มีดีพอที่จะให้เข้าใจในเรื่องที่ต้องการบอกจนกระทั่งความรู้สึกที่พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของมิตร ชัยบัญชาพ่อเคยบอกว่าไม่ต่างจากการเสียญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักและเหมือนโลกอนธการไประยะหนึ่ง เชื่อว่าคุณนนทรีย์ นินิบุตรคงมีประสบการณ์ทางความรู้สึกจึงเล่าได้ชนิดที่ขอบตาอุ่นชื้นแทบทุกนาทีเมื่อบทหนังถูกรังสรรและออกแบบตัวละครมาอย่างดีแล้วเคมีนักแสดงเข้ากันอย่างกลมกล่อมก็กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สารภาพตรงนี้ว่าผู้เขียนไม่เคยคิดว่าคุณเวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศจะกลายมาเป็นนักแสดงที่ฝีมือจัดจ้านได้ปานนี้ถ้าว่ากันที่ตอนเคยเห็นเขาแสดงละครหลังข่าวช่องหลายสี ซึ่งเมื่อระยะหลังที่ผู้เขียนไม่ได้ดูละครแล้วก็ได้ดูเขาแสดงบ้างก็เห็นว่าเขาเก่งขึ้นแต่ก็มีบ้างที่ถูกข้อจำกัดบางอย่างทำให้ไปไม่สุด แต่กับเรื่องนี้ด้วยการออกแบบตัวละครอย่างดีประกอบกับบทหนังที่เยี่ยมพอและคงต้องให้เครดิตผู้กำกับด้วยเพราะนี่คือการแสดงที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังได้เลย ด้วยเคมีของนักแสดงที่เข้ากันยิ่งกว่าปี่กับขลุ่ยความลื่นไหลเป็นธรรมชาติที่เนียนตาการเฉลี่ยบทบาทความเด่นได้อย่างลงตัวการสื่อสารเชิงอารมณ์ที่อย่างที่บอกว่าต่อให้ไม่มีประสบการณ์ร่วมก็ยังจะอดกลั้นไม่ไหว เพราะความรู้สึกข้างในถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไร้ที่ติโดยทีมนักแสดงเวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ,หนูนา หนึ่งธิดา โสภณ,เก้า จิรายุ ละอองมณีและพี่มาด สามารถ พยัคฆ์อรุณ ทั้งนี้รวมถึงนักแสดงสมทบทุกคนทั้งบทเล็กน้อยหรือใหญ่ที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่รักส่วนตัวแล้วถ้าไม่ดูเรื่องนี้คงไม่มีสิทธิ์ให้ใครมาเรียกว่าคนรักหนังและเป็นหนังไทยไม่กี่เรื่องที่ดูซ้ำรอบสองในทันที นี่คือบทความที่เขียนหลังจากการดูซ้ำรอบที่สองในทันทีและอาจเพราะความรู้สึกอิ่มเอมตลอดเวลาที่ดูทั้งสองรอบเลยไม่อาจหาอะไรมาตำหนิหนังเรื่องนี้ได้ เพราะนี่คือหนังที่สร้างโดยคนรักหนังเพื่อคนรักหนังหรือเอาให้แน่นลงไปอีกคือสร้างโดยคนที่รักหนังไทยเพื่อคนรักหนังไทย แล้วผู้เขียนคือคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาที่เป็นเวลาที่โลกกำลังจะเปลี่ยนจากหนังที่พากย์สดมาเป็นหนังเสียง ซึ่งหนังก็บอกหลายต่อหลายครั้งเรื่องการเปลี่ยนผ่านทำให้ความรู้สึกเติบโตกลับมาในวันนี้ที่เข้าใกล้วัยชราเพราะความทรงจำดีๆเกี่ยวกับภาพยนตร์ไทยกลับมาอีกครั้ง และคงไม่อายที่จะบอกว่านี่คือหนังคุณภาพระดับฉายโรงได้เพราะภาพเสียงและเพลงอยู่ในระดับนั้นยังไม่ต้องว่ากันเรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่ลงลึกถึงข้างในได้ ข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยผ่านอะไรแบบนั้นมาอาจจะเสพได้ไม่ซึ้งพอและกลายเป็นแค่จดหมายเหตุดีๆที่อ่านสนุก แต่กับผู้เขียนแล้วนี่คือการอ่านจดหมายเหตุที่มีตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในนั้นและต้องขอบคุณคืนวันเหล่านั้นที่มอบความรักในการดูหนังให้มาต่อยอดได้ถึงวันนี้ และเสียดายที่ไม่ได้ดูเรื่องนี้บนจอใหญ่ในโรงดูไปบ่นไปhttps://www.youtube.com/watch?v=kAF2hTaIpiM&ab_channel=NetflixThailandขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixthVDO ตัวอย่าง จาก YouTube Netflix Thailand เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !