แอนิเมชัน สั้น แปลก แหวก เหวอ 9 ตอนใหม่ ของ "Love, Death & Robots" ชุด 3 หรือ กลไก หัวใจ ดับสูญ ชุด 3 สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ CALLMESAY กลับมาอีกแล้วค่ะ วันนี้มาพร้อมกับ รีวิว Love, Death & Robots ชุด 3 ตอน Jibaro ที่สตรีมไปแล้วบน Netflix เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่ง Love, Death & Robots เป็นแอนิเมชัน ที่มีการเล่าเรื่องแตกต่างกันออกไปในแต่ละตอน และในแต่ละตอนก็จะถูกผลิตโดยสตูดิโอแอนิเมชันจากประเทศต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โดยมีธีมใหญ่คือเรื่องราวเกี่ยวกับ ความรัก ความตาย และหุ่นยนต์ คิดว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นความรัก ความตาย และหุ่นยนต์ เนื่องจาก ผู้กำกับฝีมือดีอย่าง David Fincher และ Tim Miller ต้องการสร้างเรื่องสั้นที่หลากหลายใน 1 เรื่อง ผ่านการถ่ายทอดเรื่องความรักและความตายของมนุษย์ ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่สามารถอยู่แบบฝืนธรรมชาติได้ แต่หุ่นยนต์ เป็นสิ่งที่อยู่ได้ยาวนานกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไป เพราะหุ่นยนต์เป็นเครื่องจักร ที่สามารถแก้ไข ปรับปรุง และเติมเต็มได้เสมอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เส้นเรื่องของแอนิเมชันชุดนี้ ก็ไม่ได้จำกัดความแค่เพียง 3 คำหลักนี้เท่านั้น แต่มันสามารถตีความและขยายจินตนาการออกไปได้อีก***มีสปอยล์เนื้อหาและตอนจบ***https://youtu.be/5NXWGMWQJkk แอนิเมชัน Love, Death & Robots ชุด 3 ที่เพิ่งสตรีมไปบน Netflix มีทั้งหมด 9 ตอน โดย Jibaro หรือ ฆีบาโร เป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์ชุดนี้ ที่ถือได้ว่าปิดฉากเรื่องราวของชุดที่ 3 ได้อย่างสวยงาม และน่าประทับใจมาก ๆ สำหรับ CALLMESAY แล้วเรียกได้ว่า มีความลึกซึ้ง ทั้งเนื้อหา เสียง และภาพ แต่ก่อนอื่นเลย ต้องขอเตือนผู้อ่านก่อนว่า เนื้อหาของบทความมีการ "สปอยเรื่องราว" นะคะ ฮ่า ๆ และต้องออกตัวก่อนเลยว่า CALLMESAY ไม่ใช่นักรีวิวที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการรีวิวภาพยนตร์ เพียงแต่รีวิวตามความชอบและความรู้สึกส่วนตัว หรือเรียกได้ว่า รีวิวในมุมมองของคนดูหนังคนหนึ่งแล้วกันนะคะ ฮ่า ๆ มาเริ่มกันเลย ! เรื่องราวของ Jibaro เป็นเรื่องราวของอัศวินหนุ่มหูหนวกกับไซเรนสาวที่ร่างกายปกคลุมไปด้วยทอง อาศัยอยู่ในแม่น้ำแห่งหนึ่งกลางป่า โดยผู้กำกับอย่าง Alberto Mielgo ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "สิ่งแรกเลย เขานึกถึงเสียงของไซเรนที่ร้องเพลง" ซึ่งเสียงร้องของไซเรนสาวนำไปสู่โศกนาฏกรรมและจุดจบของกลุ่มอัศวินที่เดินทางเข้ามาในป่าแห่งนี้ เหลือเพียงอัศวินหนุ่มหูหนวก ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงของไซเรน ไซเรนสาวจึงเกิดความสนใจหรืออาจเรียกได้ว่าเธอตกหลุมรักอัศวินคนนั้นเข้าแล้ว เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวที่เธอสามารถเข้าใกล้ได้โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเสียงของเธอเลย ถึงแม้ว่าไซเรนสาวจะได้พบกับคนที่เธอสามารถเข้าใกล้ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เธอกับเขาจะสามารถอยู่ด้วยกันได้ เนื่องจากเกล็ดทองบนตัวเธอได้สร้างบาดแผลให้กับอัศวินหนุ่มทุกครั้ง เวลาที่เขาแตะต้องร่างกายของเธอ และถึงแม้ทั้งคู่จะดันทุรังเพียงใด ก็ยิ่งสร้างบาดแผลให้กันมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งผู้กำกับก็ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องราวของฮีโร่ ไม่มีวีรบุรุษ ตอนแรกเราอาจจะเห็นว่าไซเรนเป็นปีศาจ แต่ท้ายที่สุดเราสงสารเธอ" เมื่อความรักมาพร้อมกับความไว้ใจ สุดท้าย อัศวินหนุ่มได้ทำร้ายเธอ และดึงเกล็ดทองบนตัวเธอออกไปหมด หลังจากที่ไซเรนโดนดึงเกล็ดออกไปหมด เลือดของเธอได้กระจายไปทั่วแม่น้ำที่เธออาศัยอยู่ ซึ่งเลือดของเธอเป็นยารักษาชั้นดี เมื่ออัศวินหนุ่มได้สัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนด้วยเลือดของเธอ ทำให้เขาสามารถกลับมาได้ยินเหมือนคนปกติ ฉากนี้จะเห็นได้ว่า แม่น้ำที่เธออาศัยอยู่มีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปหัวใจ และเลือดสีแดงของเธอค่อย ๆ แพร่กระจายไปจนทั่วแม่น้ำ สะท้อนให้เห็นถึง ความรักที่มาพร้อมกับความเจ็บปวด หรือ ความรักนั้นเป็นดาบสองคม อย่างที่ผู้กำกับได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "สองคนนี้รักกันด้วยเหตุผลที่ผิด และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบัน" [1] หรือที่เข้าใจกันว่า Toxic Relationship หรือ ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ ทั้งอัศวินหนุ่มและไซเรนสาวรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาทั้ง 2 คนไม่สามารถรักและอยู่ร่วมกันได้ ยิ่งพยายามดันทุรังมากแค่ไหน ก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้แก่กัน เมื่อทั้งคู่ต่างเจ็บปวดจากรักที่เป็นพิษ สุดท้ายก็ต้องกลับมาทำร้ายกันเอง ไม่ว่าจะเป็นฉากที่อัศวินหนุ่มใช้ความไว้ใจของไซเรน ทำร้ายและกอบโกยผลประโยชน์ที่ได้จากเธอไป รวมถึงในตอนสุดท้ายที่ไซเรนใช้พลังเสียงครั้งสุดท้ายที่เธอมีเป็นอาวุธสังหารอัศวินหนุ่มในที่สุด สำหรับ CALLMESAY แล้ว รู้สึกซาบซึ้งและประทับใจตอน Jibaro มาก ๆ ทุกอารมณ์ ความรู้สึกที่ถ่ายทอดออกมาจากแอนิเมชันให้ความรู้สึกเศร้าและอินไปตามเรื่องราว ทั้ง ๆ ที่ทั้งเรื่องใช้เวลาเพียง 15 นาทีในการถ่ายทอด และที่น่าทึ่งกว่านั้น คือ เป็นตอนที่ไม่มีบทพูดเลยแม้แต่คำเดียว นอกจากเสียงกรีดร้องที่เป็นอาวุธสังหารของไซเรนสาว และเสียงธรรมชาติภายในผืนป่าแห่งนี้ ซึ่งมันยิ่งให้ความรู้สึกอึดอัด บีบคั้นอารมณ์ และชวนติดตามเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นการเล่าเรื่องราวยังสลับไปที่การเล่าผ่านมุมของอัศวินหนุ่มที่หูหนวกอีกด้วย จึงมีบางจังหวะภายในเรื่องที่เราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ตอน Jibaro เป็นตอนที่น่าติดตาม คือ ภาพ ขอบอกเลยว่า ภาพดีมาก ๆ ๆ ๆ ตอนแรก CALLMESAY คิดว่า เป็นคนแสดงด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของตัวละคร ธรรมชาติ แม่น้ำ เกล็ดไซเรน แสงแดดที่ตกกระทบผืนน้ำ ดีไปหมด บวกกับโทนสีของภาพที่ให้ความรู้สึกวังเวง ความเศร้า ความเหงา ยิ่งทำให้รู้สึกอินไปกับเรื่องราวมากขึ้นอีก (สำหรับบางคนที่คิดว่ามันดูน่ากลัวและหลอน ฮ่า ๆ ปกติ CALLMESAY กลัวการดูหนังผี ภาพ หรือตัวละครที่หลอน ๆ มากเช่นกัน แต่เรื่องนี้ทำให้เราสามารถก้าวข้ามความหลอนของตัวละครหรือบรรยากาศในเรื่องไปหมดเลย เรากลับไปอินกับเรื่องราวที่กำลังจะสื่อมากกว่า มันดีจริง ๆ) แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อในเรื่องของ Toxic relationship อันนำมาซึ่งความเจ็บปวด และการทำร้ายกันระหว่างคน 2 คน สำหรับ CALLMESAY ถือได้ว่าผู้กำกับประสบความสำเร็จมากในเรื่องนี้ และยังตอบโจทย์หนุ่มสาวในยุคสมัยใหม่อีกด้วย เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาของ Toxic relationship ถูกให้ความสำคัญและพูดถึงกันเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตคู่ การใช้ความรักเหนี่ยวนำเพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลอื่น ๆ อาจจะนำไปสู่ความเจ็บปวดและทำร้ายกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างที่ Jibaro กำลังสื่อ ความรัก จะต้องนำมาซึ่งความสุขของทั้ง 2 ฝ่าย หากความรักที่ว่านั้นนำมาซึ่งความทุกข์ น้ำตา หรือความเสียใจ ก็คงต้องถอยออกมาดีกว่า สุดท้ายนี้ CALLMESAY อยากเชิญชวนท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ลองเปิดใจให้กับซีรีส์ชุดนี้ ไม่เพียงแค่ตอน Jibaro แต่ทุก ๆ ตอนควรค่าแก่การดูเป็นอย่างมาก (แต่ Jibaro นี้ต้องดูนะ ฮ่า ๆ !) โดยสามารถรับชมได้แล้ววันนี้ทาง Netflix (แอบกระซิบว่ามีพากย์ไทยด้วยนะ)ใครอยากดู คลิกเลย Netflix ภาพปก : Official Instagram Netflixthภาพประกอบบทความ ภาพที่ 1, 3, 4 : Official Instagram Lovedeathandrobotsภาพประกอบบทความ ภาพที่ 2 : Official Instagram Netflixthวิดีโอ : Official Youtube Netflix Thailandที่มาของข้อมูล : อ้างอิง [1]จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !