(ภาพปกถ่ายโดยผู้เขียน)ปัจจุบันหลายครอบครัวประสบปัญหาพบว่า เด็ก ๆ มีภาวะสมาธิสั้น ไม่สามารถอยู่นิ่งได้ หุนหันพลันแล่น และไม่มีสมาธิเวลาทำสิ่งต่าง ๆ เช่น เรียนหนังสือ แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ย่อมทำให้ผู้ปกครองกังวลใจ เพราะไม่แน่ใจว่าบุตรหลานของตนเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ ครอบครัวเราก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน ช่วงที่รู้สึกไม่แน่ใจว่าลูกเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ เพื่อนคนหนึ่งที่ลูกของเธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นสมาธิสั้นได้แนะนำหนังสือ สมาธิสั้น...แต่ฉัน OK ให้ เพื่อให้ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อนตัดสินใจพาลูกของเราเองไปพบแพทย์(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหน้าหนังสือเล่มนี้เขียนโดย พญ. พนิดา ลิ้มสุวรรณ ซึ่งเป็นแพทย์ของหน่วยจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี และจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์พราว หนังสือไม่หนามากและพิมพ์สี่สีตลอดทั้งเล่ม เท่าที่เปิดผ่าน ๆ หนังสือออกแนวน่ารัก มีภาพเยอะ และข้อความที่ใช้ดูแล้วกระชับ เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ผู้แต่งพอเปิดอ่านก็เป็นอย่างที่คิดไว้ หนังสืออ่านง่าย ใช้ข้อความง่าย ๆ เข้าใจได้ ต่างจากหนังสือแนวสุขภาพหรือให้ข้อมูลทางการแพทย์ทั่วไปที่มักจะมาพร้อมกับตัวหนังสือและข้อความเป็นพรืด ที่สำคัญรูปภาพน่ารักเยอะ เราวางหนังสือไว้ ลูกยังหยิบไปอ่าน คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเห็นว่ามีรูปสวย ๆ เยอะ ไม่ใช่แค่นั้น เด็กน้อยยังอ่านจนจบเล่มด้วย เราแอบสังเกตเห็นว่า เขามีทำตามคำแนะนำบางอย่างในหนังสือเพื่อให้ตัวเองมีสมาธิมากขึ้นด้วย เช่น เวลาเรียน ทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือ ให้หันหน้าเข้ากำแพงเพื่อสร้างความสงบ (ลึก ๆ เด็กน้อยคงแอบตะหงิด ๆ ว่าตัวเองอาจจะเป็นสมาธิสั้นหลังจากอ่านหนังสือแล้ว)หนังสือเริ่มจากพูดถึงอาการต่าง ๆ ของสมาธิสั้น และเปรียเทียบเด็กซนตามปกติกับเด็กที่ซนจนเกิดผลเสียหาย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงสมาธิสั้นเทียมที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อยู่หน้าจอมากเกินไป หรือเด็กถูกเลี้ยงมาแบบขาดระเบียบวินัยทำให้ไม่รู้จักอดทนและขาดการยับยั้งชั่งใจ จากนั้นหนังสือพูดถึงสิ่งที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้นหรือไม่ และอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เป็นสมาธิสั้น สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการรักษา ซึ่งประกอบด้วยการรักษาด้วยยา การปรับพฤติกรรม และการรักษาด้วยยาร่วมกับการปรับพฤติกรรม เราคิดว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่สงสัยว่า ถ้าให้กินยาแล้วจะมีผลอย่างไรบ้าง หนังสือแจกแจงยาที่ใช้รักษาสมาธิสั้น การออกฤทธิ์ ความถี่ในการใช้ ราคา และผลข้างเคียง ซึ่งวิธีการนำเสนอของหนังสือทำให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายมาก (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหลังหนังสือแนะนำวิธีปรับพฤติกรรมซึ่งมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะกับครอบครัวที่ยังไม่คิดจะพาลูกไปพบแพทย์หรือยังไม่อยากให้ลูกกินยา สุดท้ายหนังสือให้ข้อมูลว่า เมื่อเด็กสมาธิสั้นโตขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไรโดยส่วนตัวเราชอบหนังสือเล่มนี้มาก เพราะเป็นหนังสือให้ข้อเท็จจริงที่อ่านง่ายมาก เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ เด็ก ๆ ก็อ่านได้ แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่กำลังสงสัยและอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับสมาธิสั้น หลังจากอ่านแล้วจะเข้าใจอะไรมากขึ้นเยอะ ถึงจะเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือก็ตาม(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) คำโปรยปกหลัง