เพราะค่ายหนังมาร์เวลยุคแรกไม่มีทุน-แต้มต่อ ทอม ครูซ จึงไม่มีโอกาสได้เป็น Iron Man
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) นักแสดงเจ้าบทบาทชั้นนำอีกคนของฮอลลีวูด จะหมดหน้าที่ในการรับบทบาทซูเปอร์ฮีโร โทนี สตาร์ก (Tony Stark) หรือ ไอรอนแมน (Iron Man) ไปแล้วนับตั้งแต่ ‘Avengers: Endgame’ (2019) จะยังคงเป็นหนึ่งในนักแสดงตำนานของ MCU ที่เป็นที่รักของแฟน ๆ ตลอดไป
แต่ก็น่าคิดไม่น้อยว่า หากที่ผ่านมาตั้งแต่ ‘Iron Man’ (2008) คนที่รับบท Iron Man นั้นไม่ใช่ ดาวนีย์ จูเนียร์ แต่เป็นพระเอกหล่ออมตะอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ภาพลักษณ์ของ Iron Man และ Marvel Cinematic Universe จะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน
อย่างที่แฟน ๆ หลายคนทราบกันดีว่า ก่อนที่ Marvel Studios จะเริ่มต้นสร้างหนัง ‘Iron Man’ ออกมา ครูซคือหนึ่งในรายชื่อนักแสดงที่ทางสตูดิโอเล็งไว้ว่าจะให้มารับบทเป็น Iron Man จนสุดท้ายก็ไม่กลายเป็นจริง (และกลายเป็นกระแสเรียกร้องให้มารับบท Iron Man ในอีกมัลติเวิร์สไปเลยด้วยซ้ำ) ซึ่งล่าสุด เควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธานของ Marvel Studios ได้อธิบายเหตุผลทั้งหมดเอาไว้ในหนังสือ ‘MCU: The Reign of Marvel Studios’ เกี่ยวกับการคัดเลือกนักแสดงมารับบทในหนังเรื่องแรกของค่ายในเวลานั้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 ก่อนหน้านั้น ลิขสิทธิ์ของ Iron Man นั้นอยู่ที่ 20th Century Fox จากการที่ Marvel Entertainment ได้ทยอยกระจายขายลิขสิทธิ์คาแรกเตอร์ของตัวเองออกไปยังค่ายหนังต่าง ๆ เพื่อพยุงบริษัทไม่ให้ล้มละลาย แต่หลังจากความล้มเหลวของหนังซูเปอร์ฮีโรเรื่องท้าย ๆ ของยุคนั้นอย่าง ‘Batman & Robin’ (1997) ก็ทำให้แนวหนังซูเปอร์ฮีโรตกอยู่ในแดนเสี่ยงจนทำให้ค่ายหนังไม่กล้าเสี่ยงกับหนังซูเปอร์ฮีโรอีกต่อไป ลิขสิทธิ์ Iron Man จึงกลับมาที่ Marvel ตามเดิม
จนเมื่อ Marvel ต้องการจะนำ Iron Man มาสร้างเป็นหนัง ก็นับว่าเป็นความเสี่ยงไม่น้อยอีก เพราะหนังเรื่องแรกที่ Marvel Studios ตัดสินใจจะลุยทำเองเรื่องนี้ไม่ได้มาจากคาแรกเตอร์ยอดนิยม และด้วยความที่ยังประสบปัญหาด้านการเงิน ในเวลานั้น มีการค้นหานักแสดงที่จะมารับบทเป็น โทนี สตาร์ก มากมายหลายคน
เอวี อาราด (Avi Arad) โปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้เผยไว้ว่า “ฮอลลีวูดชอบใช้นักแสดงไม่เกินอายุ 26 ปี เกินจากนั้นคัดออก แต่ โทนี สตาร์ก ไม่ใช่เด็กหนุ่ม” ทำให้มีนักแสดงวัยหนุ่มถูกวางตัวให้เข้ามารับบทนี้ ตั้งแต่ ไคลฟ์ โอเวน (Clive Owen) นักแสดงแอ็กชันสตาร์ที่โด่งดังในยุค 2000 ที่บอกปัดบทบาทนี้ไปแต่แรก รวมทั้งครูซ วัย 34 ปีในตอนนั้น ที่มีท่าทีแสดงความสนใจในหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1998
แต่สุดท้าย ด้วยความที่สตูดิโอเล็ก ๆ ในเวลานั้นที่ยังขาดทุนรอน และขาดพลังที่เป็นแต้มเอาไปใช้ต่อรองค่าตัว ก็ทำให้ไม่สามารถดึงดาราระดับ A-List เบอร์ต้นของฮอลลีวูดอย่างครูซมารับบทได้ ไฟกีได้กล่าวไว้ในหนังสือว่า “ค่าตัวของครูซในเวลานั้น มากกว่าที่สตูดิโอที่ทำกำไรได้อย่าง Fox จะเต็มใจเสี่ยงลงทุนกับหนังซูเปอร์ฮีโรที่ยังไม่เคยเปิดตัวมาก่อน”
สตูดิโอในเวลานั้นจึงได้คัดเลือกนักแสดงคนอื่น ๆ มารับบท ซึ่งมีตั้งแต่ จิม คาวีเซล (Jim Caviezel), รวมทั้ง ทิโมธี โอลิแฟนต์ (Timothy Olyphant) ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่ทีมงานหลายคนชื่นชอบจนกลายมาเป็นตัวเต็ง รวมทั้ง แซม ร็อกเวลล์ (Sam Rockwell) ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่ จอน ฟาฟโรว์ (Jon Favreau) ตั้งใจเลือกว่าอยากให้มารับบทนี้
แต่สุดท้าย บทนี้ก็กลับตกเป็นของ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงที่เกือบจะหมดอนาคต จากเรื่องราวเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งฟาฟโรว์ที่ได้เห็นเขาก็มั่นใจทันทีว่าจะรับบทนี้ได้ แม้ว่าจะต้องรับแรงกดดันจากผู้บริหารที่ต่างไม่เห็นด้วยก็คาม แต่สุดท้ายฟาฟโรว์ก็คิดถูก จากรายได้ Box Office ถล่มทลาย ทำให้ Marvel Studios กลายเป็นสตูดิโอชั้นนำที่ปลุกกระแสหนังซูเปอร์ฮีโรได้สำเร็จ
ในภายหลัง ครูซได้เคยให้สัมภาษณ์เปิดเผยถึงเหตุผลที่เขาปฏิเสธในการรับบทนี้ไปหลังจากที่ได้รับการทาบทาม และเขาเองก็ยังชื่นชมการรับบทบาท Iron Man ที่เป็นแรงส่งให้ ดาวนีย์ จูเนียร์ ล้างภาพดาราติดยาเสพติด กลายเป็นนักแสดงที่มีแฟน ๆ ชื่นชอบ และได้รับการยอมรับในฝีมือการแสดงในหลาย ๆ บทบาทในเวลาต่อมา
“ผมเคยคุยกับ Marvel Studios อยู่ช่วงหนึ่ง คือเมื่อผมจะทำอะไรบางอย่าง ผมก็อยากจะทำให้มันดี ถ้าผมต้องผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมก็อยากจะทำให้มันเป็นสิ่งที่ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษ ในขณะที่มี (หนัง) เข้ามาแบบติด ๆ กัน ผมไม่คิดว่ามันจะได้ผล ผมจำเป็นที่จะสามารถตัดสินใจ และทำให้หนังเรื่องนี้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้น”
“ผมรัก โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ นะครับ ผมคิดว่าบทบาทนี้เหมาะกับเขามาก ผมนึกภาพคนอื่นกับบทบาทนั้นไม่ออกเลยจริง ๆ “