ภาพยนตร์ไทยหรือเทศถ้าหากฉายแล้วได้รับกระแสตอบรับดีหรือทำรายได้มากกว่าทึนสร้าง ส่วนใหญ่แล้วมักจะจบด้วยการทำ "ภาคต่อ" เสมอครับ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนักเพราะการทำหนังภาคต่อ ก็เหมือนกับการลงทุนเพื่อเก็บกำไรเพิ่มเติม อีกทั้งนักแสดงและผู้กำกับก็จะได้งานได้เงินด้วย ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ว่ามันเป็นอาถรรพ์หรือเปล่า ที่เวลาหนังภาคต่อออกฉายทีไรมักจะได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีเท่าภาคแรกอาจจะดูเป็นเรื่องที่แปลกแต่มันเป็นจริงครับ เพราะภาพยนตร์ภาคต่อหลายเรื่อง มักจะไม่ประสบผลสำเร็จเมื่อเทียบกับภาคแรกของมัน รวมไปถึงหนังฟอร์มยักษ์ที่มีภาคต่อหลาย ๆ ภาคเองก็ตาม ที่บางเรื่องก็เหมือนจะ "ออกทะเล" ไปไกลแสนไกล ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันได้ วันนี้เราจะมาวิเคราะห์สาเหตุกันดู จากการดูหนังหลายต่อหลายเรื่องของผู้เขียน ก็จะขอหยิบยกบางสาเหตุในความคิดเห็นของตัวผู้เขียนกันนะครับไม่มีการวางแผนที่ดีที่มารูปภาพ: Takenภาพยนตร์บางเรื่องถูกเขียนบทมาเพื่อจบสมบูรณ์ในตอนของมัน หากมันบังเอิญเกิดปังทำรายได้ขึ้นจนมีภาคต่อ งานนี้ย่อมเดือดร้อนถึงทีมเขียนบทแน่นอนครับเพราะว่าจะต้องมานั่งหาช่องโหว่บทหนังภาคแรก แล้วพยายามหาเหตุผลมารองรับในภาคที่สองต่อไป หรือเรียกง่าย ๆ ว่าพยายามแถให้เข้ากับเนื้อเรื่องก็ว่าได้ บางครั้งเมื่อเราไม่สามารถเดินเรื่องต่อข้างหน้าได้ก็คงต้องเล่าเนื้อหาย้อนหลังเป็นเหตุการณ์ก่อนภาคแรกเคสนี้คงจะเห็นได้หลาย ๆ เรื่องเช่น Taken ที่เปิดตัวเป็นหนังแอ็คชั่นตามหาลูกสาวจนทำให้ Liam Neeson โด่งดังเป็นนักบู๊รุ่นปู่ จนต้องมีการทำภาคต่ออีก 2 ภาคที่เขาต้องตามหาลูกอีกหลายต่อหลายครั้ง Death Race เรื่องราวนักซิ่งคนคุกที่มีกระแสดีพอตัวแต่หาทางไปต่อไม่ได้เลยต้องเดินเรื่องก่อนหน้าภาคแรก ซึ่งสองเรื่องที่ว่ามาก็ได้คำวิจารณ์น้อยกว่าภาคแรกพอควรความสดใหม่ที่มารูปภาพ: Deadpool Movieเป็นเรื่องที่พูดยากครับเพราะการที่ได้เห็นอะไรครั้งแรกมักจะตื่นตาตื่นใจ รู้สึกว่ามันแปลกใหม่เป็นภาพติดตาไป จนทำให้การทำหนังภาคต่อต้องไม่เดินซ้ำรอยเดิม เป็นความกดดันอย่างหนึ่งที่ผู้สร้างต้องเจอครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตกม้าตายตรงที่ ไม่สามารถหาไอเดียใหม่ ๆ มาสร้างสรรค์หรือไม่ก็คงเนื้อหาเดิม แต่อาจจะเปลี่ยนตัวละครหรือสถานที่ใหม่แทนอย่างเรื่อง Deadpool ในภาคแรกจะได้เห็นความเกรียน-กวนบาทาของเจ้าตัวละครนี้มาก เป็นสีสันใหม่ของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนรวมถึงการเดินเรื่องสุดแลปกที่มีหันมาคุยกับคนดูด้วย พอมาเป็นภาคที่ 2 แม้ว่าความกวนยังคงอยู่ แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือแปลกใหม่อีกต่อไป แม้ว่าภาค 2 จะทำได้ดีหากไม่มีข้อเปรียบเทียบ และถ้าเทียบกับภาคแรก ยังไงก็ดูด้อยกว่าอยู่ดีครับแรงกดดัน-แทรกแซงจากเบื้องบนที่มารูปภาพ: Pacific Rimการได้รับโอกาสทำหนังภาคต่อย่อมต้องถูกอนุมัติจากผู้อำนวยการสร้างเป็นอันดับแรกพร้อมกับผู้สนับสนุนนายทุนต่าง ๆ ที่ซัพพอร์ตเงินลงทุน สังเกตได้จากหลาย ๆ เรื่องที่ได้งบสร้างเยอะกว่าภาคแรกมากเป็นเท่าตัว การมีงบสูงก็เป็นอะไรที่ดีครับเพราะจะได้สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ได้มากขึ้น แต่ว่ามันก็มีข้อเสียตรงที่บางครั้งจะมีแรงกดดันจากผู้สนับสนุน รวมถึงมีข้อบังคับบางอย่างที่จำกัดอิสระมากกว่าเดิมแรงกดดันที่ว่ามาก็จะเป็นความคาดหวังของนายทุน ที่อยากจะให้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังไว้ บางทีก็ไม่ได้นึกถึงหลักความเป็นจริงหรือไม่ตรงใจผู้กำกับ บางเรื่องอาจมีแทรกแซงนำนักแสดงในสังกัดหรือนักแสดงสัญชาติเดียวกับผู้สนับสนุนมาแจมด้วย ทำให้มีปัญหาเรื่องการกระจายบทหรือถูกยัดเยียดตัวละครให้เข้ามาอย่างช่วยไม่ได้ เช่น Pacific Rim 2 กับการมาของนักแสดงจีนเกือบครึ่งเพราะมีนายทุนจีนสนับสนุนเงินทุนอยู่เปลี่ยนผู้กำกับ-ตัวละครหลักที่มารูปภาพ: Speedการทำหนังภาคต่อใช่ว่าจะได้ทีมงานกับนักแสดงชุดเดิมมาทำงานต่อเสมอไป นั่นเพราะว่าคิวงานของนักแสดงอาจไม่ว่างหรือบทหนังที่ไม่น่าสนใจ แต่เมื่อได้อนุมัติทำภาคต่อก็ต้องเดือดร้อนจนต้องแคสต์นักแสดงใหม่แทนทันที ซึ่งส่วนมากมักจะไปไม่รุ่งครับเพราะแฟน ๆ หนังจะติดตากับนักแสดงชุดเดิมมากกว่า นอกจากคนที่มาใหม่จะทำได้เกินมาตรฐานมาก ๆ จึงจะลบภาพเก่าออกได้ครับเหตุการณ์นี้เคยเกิดกับ Speed 2 หนังแอ็คชั่นในตำนานที่คราวนี้ไม่ได้ Keanu Reeves มารับบทนำอีกต่อไป บวกกับการเดินเรื่องที่ซ้ำซากเปลี่ยนสถานที่จากแค่รถบัสเป็นเรือ ผลเลยทำให้หนังเรื่องนี้ได้คะแนนวิจารณ์ดำดิ่งลงเหวไปมากทีเดียว เรียกได้ว่าทำแค่ภาคแรกยังจะดีกว่าถึงแม้ว่าอถรรพ์หนังภาคต่อจะมีหลายปัจจัยที่ไปไม่ถึงฝัน ถึงอย่างนั้นก็มีหนังอีกจำนวนมากครับที่ปรับปรุงข้อเสียจากภาคแรกและมาปังในภาคที่สองหรือภาคต่อ ๆ ไปได้เช่น The Dark Knight ที่สร้างชื่อสะเทือนวงการภาพยนตร์ หนังแอ็คชั่นยิงดะอย่าง John Wick ก็เช่นกันที่เพิ่มเติมความมันส์กว่าภาคแรก เฟรนไชส์ Mission Impossible ก็ด้วยครับที่ทุกภาคเพิ่มดีกรีความเดือดระทึกใจก็ไม่ทราบว่าอาถรรพ์ของหนังภาคต่อจะหมดลงไปเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ชัดคือเริ่มมีภาพยนตร์หลายเรื่องทำภาคต่อได้ดีมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมงานและนักแสดง สรุปสุดท้ายหนังจะดีจะแย่ก็ควรรับชมด้วยตาตนเองจะดีกว่า อย่าตัดสินมุมมองจากภายนอกครับที่มารูปภาพปก: 15299 จาก Pixabay