รีวิวหนัง “Avatar: Fire and Ash อวตาร อัคนีและธุลีดิน” ซีจียังเด่นจรุงใจ กับจุดยืนที่มาตรฐานคุ้นเคย
ครั้งนี้..รอไม่นาน แค่ไม่กี่อึดใจก็ได้เวลาเสิร์ฟการผจญภัยลำดับถัดไปของเฟรนไชส์หนังแอคชันไซไฟฟอร์มมหึมาแห่งยุค ศักราชนี้กลับมาใน “Avatar: Fire and Ash อวตาร อัคนีและธุลีดิน” รังสรรค์โดยตัวพ่ออัจฉริยะผู้กำกับของฮอลลีวูด “เจมส์ คาเมรอน” ที่ยังคงบรรเลงเพลงไพเราะผ่านฝีมือแบบจับตัวยากและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา พร้อมกับการรักษามาตรฐานที่เปล่งประกาย จนยากที่จะมีใครทำได้ถึงเท่านี้
ท่ามกลางสงครามอันโหดร้ายกับ RDA และความโศกเศร้าจากการสูญเสียลูกชายคนโต เจค ซัลลี่ และ เนย์ทีรี จะต้องพบกับภัยคุกคามใหม่บนดาวแพนโดร่า เหล่าชาวนาวีเผ่าขี้เถ้าที่ป่าเถื่อนและกระหายในอำนาจ นำโดยหัวหน้าเผ่าผู้เหี้ยมโหดที่มีชื่อว่า วารัง ครอบครัวของ เจค จะต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและเพื่ออนาคตของดาวแพนโดร่า ในความขัดแย้งที่จะผลักดันทุกคนไปยังขีดสุดของทั้งร่างกายและจิตใจ
Avatar: Fire and Ash ถือว่าเป็นหนังที่มีงานสร้างต่อเนื่องมาจากภาคก่อน Avatar: The Way of Water เลย การถ่ายทำก็เป็นการทำงานที่ต่อเนื่องไล่เลี่ยกันมา แต่ที่ทิ้งช่วงเวลาสักพักกว่าจะกลับมาสานต่อ ก็เพราะว่าการใช้เทคนิคพิเศษที่ละเอียดยิบยับ ออกมาเป็นงานซีจีระดับเทพ บนมาตรฐานความโดดเด่นยี่ห้อ คุณเจมส์ คาเมรอน ที่บอกเลยว่า Avatar 3 ก็ยังคงมีจุดเด่นและทีเด็ดบนบรรทัดฐานของงานสร้างแบบเต็มปรอท
แน่นอนว่าหนังยังคงได้ทีมงานผู้สร้างชุดเดิมแทบจะทั้งหมดกลับมาสร้างสรรค์ภาคที่ 3 ของการเดินทาง เป็นอีกหนึ่งที่ เจมส์ คาเมรอน ได้พิสูจน์ให้ผู้ชมได้เห็นว่า...เขาคือเทพแห่งผู้กำกับจริง ๆ อยากจะแง้มดูว่าในความคิดและจินตนการในหัวของเขา มีกระบวนการตกผลึกออกมาได้เลิศเลอขนาดนี้ได้อย่างไร วิสัยทัศน์ของเขายังสามารถนำพาหนังเรื่องนี้ไปได้ต่อ และยังไปได้อีกเรื่อย ๆ จนแทบจะยังมองไม่ออกว่าเลยว่า มหากาพย์เรื่องนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
อีกทั้งยังแพสชั่นในการลงมือทำของเจมส์ คาเมรอน ก็ยังเป็นที่ประจักษ์ออกมาผ่านผลลัพธ์บนจอใหญ่ทุก ๆ เฟรม ตลอดความยาวกว่า 3 ชั่วโมงของหนัง เรียกได้ว่างานสร้างที่พิถีพิถันของเขา ไม่เคยสัมผัสความแผ่วลงเลยสักนิดเดียว ยังเป็นการปรุงแต่งที่บียอนด์อยู่สม่ำเสมอ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมได้ทุกครั้ง และนับว่าเป็นการสร้างผลงานออกมาเพื่อมอบประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะรู้สึกเฉพาะในโรงภาพยนตร์เท่านั้นได้สำเร็จอีกครั้ง
“รัสเซล คาร์เพนเตอร์” ยังรับหน้าที่ผู้กำกับภาพให้กับเรื่องนี้ ก็มอบมุมมองการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านมุมกล้องแบบที่รู้ใจกันดีกับผู้กำกับท่านนี้ โดยที่งานประพันธ์เพลงประกอบของ “ไซมอน ฟรังเลน” ละมุนกลมกล่อมและอบอวลไปด้วยความยิ่งใหญ่เสริมอารมณ์ให้กับเนื้อหาของหนังได้ในลักษณะกราฟไม่มีตก แม้ว่าจะแอบตะหงิดใจเล็กน้อยกับจังหวะการตัดต่อแบบฉึบฉับไม่แนบเนียนในบางช่วงของหนัง ที่ เจมส์ คาเมรอน ก็เป็นหนึ่งในคนที่มาคุมงานตัดต่อเองด้วยแท้ ๆ
แต่ท่ามกลางความสมบูรณ์แบบของการออกแบบงานสร้างและเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ที่ Avatar: Fire and Ash ยังตอบโจทย์คนดูได้อย่างประสบความสำเร็จแล้ว กลับพบว่าภาคนี้ก็ยังมีช่องโหว่ใหญ่ ๆ ที่เป็นจุดอ่อนที่เห็นเด่นชัดมากขึ้นด้วย นั่นก็คือวิธีการเล่าเรื่องและบทหนัง ที่ปฏิเสธไมไ่ด้เลยว่าดำเนินเรื่องมาถึงภาคที่ 3 กับขนาดความยาวจุก ๆ ถึง 3 ชั่วโมง แต่เนื้อแท้เส้นเรื่องข้างในจริง ๆ ของหนังเรื่องนี้แทบหยุดกลับที่ ขยับเคลื่อนที่ไปค่อยข้างน้อย
จุดอ่อนของหนังกลายเป็นความพยายามเติมแต่งจินตนาการของบทหนัง ที่พบว่ามีหลาย ๆ ส่วนที่เกินจำเป็นมากไป นี่ขนาดเป็นภาคที่ไม่ได้มีการปูเรื่องราวใด ๆ ย้อนกลับไปในอดีตเลย แต่กลับยังไม่สามารถพาคนดูขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่ ซ้ำยังมาพร้อมกับพล็อตและจังหวะเล่าเรื่องที่แทบไม่แตกต่างสักเท่าไหร่นัก จากหนังเรื่องในหนังทั้ง 2 ภาคก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ขมวดปมต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องเฉพาะของหนังเรื่องนี้ กลับไม่ค่อยจูนติดกับผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เท่าที่ควรนัก เพราะอุปสรรคหลัก ๆ ของหนังที่ยาวไป จนกลายเป็นดูเยิ่นเย้อเกินจำเป็นในบางจุด ก็ไม่ต่างกับการผลักดันภารกิจความเหนื่อยหน่ายในการนั่งดูของผู้ชมที่พยายามเฝ้ารออย่างจดจ่อ ซ้ำยังมาพร้อมไดอะล็อกบทพูดต่าง ๆ ที่ชวนประดิษฐ์ในบางที กลายเป็นหนึ่งในจุดที่เกือบจะติดอยู่ก้ำกิ่งระหว่างหนังกับลิเกแล้ว
ทางด้านทีมนักแสดงก็ยังคงสร้างสรรค์ผลงานของพวกเขาออกมาได้อย่างน่าประทับใจเช่นเคย “แซม เวิร์ธธิงตัน” กับ “โซอี้ ซัลดานา” เป็นหัวเรือหลักในการนำทางประคับประคองหนังเรื่องนี้ได้อย่างขันแข็ง แม้ว่าพวกเขาจะถูกสวมทับด้วยซีจีทั้งตัวก็ตาม แต่ทุก ๆ อินเนอร์ผ่านการแสดงระดับมืออาชีพยัง เปล่งประกายชัดเจน “สตีเฟน แลง” และ “ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์” ยังคงมาเสริมทางการแสดงได้อย่างเติมเต็มที่ดี
และผู้ที่โดดเด่นในภาคนี้ก็ต้องยกให้กับ “อูนา แคปลิน” ที่เพิ่งถูกเปิดตัวในฐานะตัวละครวายร้ายตัวใหม่ประจำภาค ที่บอกเลยว่าเป็นนักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่ลีลาการแสดงของเธอกับการสวมบทบาทเป็น วารัง ในหนังภาคนี้นั้น…คือที่สุด เพราะเธอสามารถถ่ายทอดมิติบทบาทนี้ออกมาได้อย่างน่าติดตาม เป็นตัวร้ายที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าค้นหา บิวท์ความทะเยอทะยานที่น่าเกรงขามส่งตรงถึงคนดูได้อย่างถึงใจ
กับอีกคนที่ค่อนข้างได้รับการสาดแสงไฟให้โดดเด่นขึ้นมาในภาคนี้ก็คือ “แจ็ค แชมป์เปียน” เด็กหนุ่มคนนี้ฝีมือมันไม่ธรรมดาจริง ๆ เชื่อว่าผู้สร้างน่าจะมองเห็นและสัมผัสได้ว่าเขาคนนี้มีของ จึงได้รับการพัฒนาบทขึ้นมาให้กลายเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่ละสายตาไปไม่ได้ และบัดนี้หนุ่มคนนี้ก็เติบใหญ่วัย 20 หมาด ๆ ที่ประสิทธิภาพมากล้นจริง ๆ การโยนบทเด่นให้กับเขาในภาคนี้ ก็สามารถรับมือและตอบโจทย์ทางการได้ทัดเทียมกับรุ่นพี่มืออาชีพได้อย่างลงตัวทีเดียว
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว Avatar: Fire and Ash ก็ยังคงเป็นการเดินทางที่สร้างความตระการตาให้กับคนดูได้ดีอยู่ต่อไป เจมส์ คาเมรอน ยังปล่อยฝีมือการทำหนังของเขาออกมาให้ชวนว้าวอยู่เสมอ ด้วยฝีมือดีไซน์งานเทคพิเศษและซีจีต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้ถึง และองค์ประกอบงานสร้างก็เหมาะเจาะลงตัวในหลาย ๆ แง่ แม้ว่าในภาคที่ 3 นี้ จะจัดได้ว่าอยู่บนมาตรฐานเดิม ๆ ที่เคยได้ดีจากภาคก่อน แต่ก็จุดด้อยที่น่ากังวลในแง่พล็อตเรื่องและเส้นเรื่องที่ขับเคลื่อนช้า กับเนื้อหาที่ยาวถึง 3 ชั่วโมง ก็ย่อมเป็นจุดที่ผู้สร้างจะต้องนำไปพัฒนาแก้โจทย์กันใหม่หลังจากนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Avatar: Fire and Ash อวตาร อัคนีและธุลีดิน
- ประเภท: แอคชัน / ผจญภัย / ไซไฟ / แฟนตาซี
- ผู้กำกับ: เจมส์ คาเมรอน
- นำแสดงโดย: แซม เวิร์ธธิงตัน, โซอี้ ซัลดานา, ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์, สตีเฟน แลง, อูนา แคปลิน
- ความยาว: 195 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 17 ธันวาคม 2025
Movie.TrueID METRIC: Avatar: Fire and Ash อวตาร อัคนีและธุลีดิน
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7.5/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7.1/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8.2/10) - เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9.5/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6.6/10)
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa