เด็กยุคใหม่ กับ หน้าจอ เป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน จอแท็ปเล็ต จอทีวี ล้วนแล้วแต่เป็นการทำร้ายดวงตาเมื่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานาน แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในยุคปัจจุบัน เรียกได้ว่าโลกแห่งเทคโนโลยี เป็นยุคที่อันตรายต่อดวงตาของเราจริง ๆ ถึงแม้มันจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายมาให้ก็ตามที ดวงตาเป็นอวัยวะที่ฉันเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก หากเราสูญเสียการมองเห็น หรือมองได้ไม่ชัดก็จะทำให้ชีวิตประจำวันของเรายุ่งยากมากทีเดียว และรู้ไหมว่าดวงตามีอายุการใช้งานที่จำกัดด้วยนะ หากเราไม่ดูแลรักษามันอย่างดีพอแล้วละก็อายุการใช้งานของดวงตาคงเลยอายุจริงของเราไป ทำให้มันเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเมื่อดวงตาเราเสื่อมสภาพแล้ว สายตาเสียไปแล้ว การจะเอากลับคืนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และยอมรับสภาพแต่โดยดี จึงเห็นเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ในยุคนี้ใส่แว่นตากันมากขึ้น ๆ ฉันก็เป็นอีกคนที่คิดเช่นนั้น แต่ก็มาเปลี่ยนความเข้าใจเมื่อได้พบ ได้อ่านกับหนังสือเล่มหนึ่งนั่นคือหนังสือที่มีชื่อว่า "แค่วันละ 1 นาทีเปลี่ยนสายตาแย่ให้กลับเป็นเยี่ยม ไม่ต้องหาหมอ ไม่ต้องง้อแว่น แค่ใช้มือของคุณก็พอ!" ฟังดูชื่อหนังสือช่างย๊าว..ยาวใช่ไหม แต่ขอบอกเลยว่าเมื่อคุณได้จับหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านแล้วคุณจะต้องประหลาดใจในหลายต่อหลายเรื่องของผู้แต่ง ที่แนะนำในเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับดวงตาแล้วคุณจะพบว่าไม่ยุ่งยาก ยาวนานเหมือนดั่งชื่อหนังสือเลยสักนิดแค่วันละ 1 นาทีเปลี่ยนสายตาแย่ให้กลับมาเป็นเยี่ยม ของ ผู้เขียน คนโนะ เซซิเป็นหนังสือที่อธิบายถึงปัญหาสายตาของคนยุคปัจจุบัน โดยกล่าวเจาะจงลงไปถึงคนญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้นเนื้อหาก็ใช้เทียบเคียงได้กับคนทุกประเทศไม่ต่างกัน เพียงแต่ผู้เขียนนำปัญหาที่เขาคุ้นเคยมากล่าวถึง เพราะญี่ปุ่นเป็นสังคมคนทำงานหนัก วิถีชีวิตเร่งรีบของคนเมือง ซึ่งไทยเราก็มีสังคมที่คล้าย ๆ กันแล้วเช่นกัน สังคมเมืองที่รายล้อมไปด้วยสิ่งที่ส่งผลต่อปัญหาสายตา ค่าเฉลี่ยอายุของคนที่มีปัญหาสายตาที่นับวัน ๆ จะน้อยลงทุกที วิถึชีวิตความเป็นอยู่ที่ลดทอนวิถึชีวิตเดิม ๆ ในสมัยก่อน เด็ก ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่กับจอ จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันเราจะเห็นสถาบันฝึกสอนการเล่นนอกห้องเรียน การฝึกการทำกิจกรรมโลดโผนในแบบที่เด็กสมัยรุ่นก่อน ๆ ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องหาที่เรียนก็เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็ก ๆ กันอยู่แล้ว เหตุใดกิจกรรมการเล่นโลดโผน เช่น วิ่ง กระโดด เคาะ นั้นถึงเป็นสิ่งสำคัญ ในหนังสือเล่มนี้ได้บอกไว้ว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยฟื้นฟูบำรุงสายตาของเราได้เป็นอย่างดีด้วยนะ แต่จะต้องทำอย่างไร วิธีไหน หนังสือมีบอกอย่างละเอียดเข้าใจได้ง่ายถึงขั้นตอนตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวันต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร การนวดฟื้นฟู กดจุดก็มีภาพประกอบ วิธีนวดอย่างละเอียด ซึ่งเมื่อเราได้อ่านก็สามารถลองไปปฎิบัติตามได้เลย ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นาน แค่เพียงไม่กี่นาที การฟื้นฟูสายตาของเราให้กลับมาดี ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่เราอาจจะเคยทำกันมานาน แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืม ถูกกลืนหายไปกับวิถึคนเมือง วิถีความยุ่งยากหาเวลาว่างในแต่ละวันช่างยากเย็นนัก ดังที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นว่า ยุคใหม่เป็นยุคอันตรายต่อดวงตา สายตาของเด็ก และผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ มาก อาจกล่าวได้ว่าทุกช่วงวัยก็เป็นได้ เพราะปัจจุบันนี้โซเซียลไม่ว่าจะเป็นไลน์ หรือเฟซบุ๊ค ก็เข้าถึงแม้กระทั่งผู้สูงอายุ หนังสือเล่มนี้จึงเอาใจคนยุค 4.0 ด้วยมอบวิธีการฟื้นฟูดวงตาของเราภายในเวลาแค่วันละ 1 นาที ซึ่งเหมาะกับยุคที่เวลามีค่าดั่งทองเสียจริง แต่เนื้อหานั้นช่างน่าอ่าน อาจเนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นปัญหายอดฮิตของคนในสมัยนี้ ยิ่งถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่มีลูกวัยอยากรู้อยากเห็น วัยซนด้วยแล้วละก็หนังสือเล่มนี้ยิ่งทวีความสนใจให้เรายิ่งขึ้นไปอีก อะไรจะดีไปเท่าลูกเรามีอวัยวะครบสามสิบสอง และจะดีไปยิ่งกว่าถ้าพวกเขามีทุกส่วนที่สมบูรณ์ไม่เสื่อมไปก่อนเวลาอันควร ที่น่าสนใจที่สุดคือ หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวว่าถึงแม้สายตาเราจะเริ่มมีปัญหาบ้างแล้วก็ยังสามารถฟื้นฟูกลับมาให้ดีดังเดิมได้ เวชศาสตร์แห่งการฟื้นฟูชลอวัยนั้นอาจฟังดูเป็นสิ่งใหม่ของคนไทยอย่างเรา ๆ แต่ในต่างประเทศนั้นเป็นศาสตร์ที่มาแรง และเป็นที่นิยมอย่างมาก ในญี่ปุ่นก็เช่นกัน นักเขียนคุณ คนโนะ เซซิ ก็เป็นอีกคนที่ทุ่มเทให้กับการศึกษาเรื่องศาสตร์แห่งการฟื้นฟู ชลอวัย ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์รักษาตา และหู Nihon Reverse จึงทำให้วิธีการต่าง ๆ ในหนังสือเล่มนี้ดูน่าเชื่อถือและลองนำไปฝึกตาม เพราะดวงตาสำคัญกับชีวิตมนุษย์ยิ่งนัก โปรดดูแล ทะนุถนอมดวงตาของคุณให้อยู่คู่เรา ทำหน้าที่ของมันไปได้นาน ๆ เถอะนะแนะนำหนังสือเรื่อง "แค่วันละ 1 นาที เปลี่ยนสายตาแย่ ให้กลับเป็นเยี่ยม" ของ คนโนะ เซซิแปลโดย ภานุพันธ์ ปัญญาใจ สำนักพิมพ์ วีเลิร์น ราคา 160 บาทภาพประกอบบทความโดย Buakhow (ผู้เขียนบทความ)