หลังจากผู้เขียนได้อ่านหนังสือ Who Moved My Cheese? ใครเอาเนยแข็งของฉันไป จนจบก็พบว่าในร้านหนังสือ B2S มีภาคที่สองต่อจากหนังสือเล่มนี้อีก ด้วยความที่เล่มแรกอ่านสนุกผู้เขียนจึงซื้อภาคที่สองมาอ่านต่อเพราะอยากรู้ว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ตอนแรกที่ผู้เขียนยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีภาคต่อก็แอบคิดไปเองว่าชีวิตของเฮมที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเลย แถมยังเอาแต่ยึดติดสิ่งที่เคยมีในอดีต (เป็นตัวละครที่กอดอดีตไว้แน่นที่สุด 😂) คงต้องจบชีวิตลงในสถานีเนยแข็งแห่งนั้น เพราะขนาดท้องหิวจัด ๆ เฮมยังเลือกที่จะรอเนยแข็งอยู่ที่เดิม แทนที่จะออกไปหาเนยแข็งในที่ใหม่ ๆ เพื่อกินประทังชีวิต ส่วนเพื่อน ๆ ตัวละครอีก 3 ชีวิต คงสุขสบายอยู่บนกองเนยแข็งจำนวนมหาศาล แต่แล้วความมโนของผู้เขียนถึงชีวิตที่แสนอนาถของเฮมก็จบลงเมื่อมันมีภาคต่อจ้าา หนังสือ Out of the Maze ออกจากเขาวงกตได้แล้ว จำนวน 96 หน้า ราคา 195 บาท (ปกแข็ง)ภาพถ่ายโดยผู้เขียนต่อจากเรื่องราวในเล่มของ Who Moved My Cheese? สนิฟฟ์ สเคอร์รี่และฮอว์ ได้ออกเดินทางจากสถานีเนยแข็งแห่งเก่าที่ไม่หลงเหลือเนยแข็งอยู่แล้ว จนได้ไปพบกับสถานีเนยแข็ง ณ ที่แห่งใหม่ ซึ่งมีเนยแข็งอยู่ในปริมาณมากมายมหาศาล ถือว่าการออกเดินทางในครั้งนี้ของทั้ง 3 ประสบความสำเร็จอย่างน่าพึงพอใจ ส่วนเฮมก็ยังคงรอคอยเนยแข็งที่หายไปอยู่ที่สถานีเดิม ไม่ยอมออกเดินไปสู่เส้นทางใหม่เสียที หนังสือ Out of the Maze จึงจะพาเราไปหาคำตอบว่าท้ายที่สุดแล้วชีวิตของเฮมจะเป็นอย่างไร ? เขาจะออกเดินทางไปสู่สถานที่แห่งใหม่ที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่ ? และจะได้เจอกับเพื่อนรักอย่างฮอว์หรือเปล่า ? ผู้เขียนบอกเลยว่าหนังสือเล่มนี้จบดีมาก (คงไม่ต้องเดาตอนจบกันแล้ว อิอิ) ตัวผู้เขียนหนังสือทั้งสองภาคอย่าง นายแพทย์สเปนเซอร์ จอนห์สัน (แปลเป็นภาษาไทยโดย คุณธันยาภัทร์ ศิริทรัพย์) ได้บรรยายเรื่องราวออกมาได้อย่างสนุกและน่าติดตามทั้งสองเล่ม เรียกได้ว่าผู้เขียนอ่านรวดเดียวจบ เพราะจำนวนหน้าที่มีไม่ถึงร้อย และเนื้อหาในแต่ละหน้าก็ไม่ได้มาก ทำให้ผู้เขียนอ่านจบได้ระยะเวลาเพียง 1 วันภาพถ่ายโดยผู้เขียนเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะยิ่งตอกย้ำให้เรารู้ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนต้องยอมรับและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ และต้องพร้อมที่จะท้าทายประสบการณ์ใหม่ ๆ แม้ระหว่างทางจะต้องเจอสถานที่ยากลำบากเพียงใดขอแค่เราไม่หยุดเดิน แต่เลือกที่จะปรับวิธีการที่เราใช้ให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และเข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ ท้ายที่สุดเราก็จะเดินไปถึงจุดหมายได้ด้วยตัวของเราเอง ทุกคนมีความกลัวอยู่ในใจและคนที่จะสำเร็จได้ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่กลัวอะไรเลย เขาก็กลัวแต่ก็ยังลงมือทำอย่างกล้าหาญ ทำทั้ง ๆ ที่กลัวนี่แหละดี เวลาที่ผ่านไปบวกกับประสบการณ์ที่มากขึ้นจะลดความกลัวในใจของเราได้เอง และหนังสือเล่มนี้ยังสอนให้เรามองในมุมต่าง มองออกมาให้ทะลุกรอบเดิม ๆ และลงมือทำด้วยวิธีใหม่ ๆ ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่เราทุกคนสามารถงัดออกมาใช้ได้ในยามที่การกระทำเดิม ๆ วิธีเก่า ๆ นั้นใช้ไม่ได้ผลภาพถ่ายโดยผู้เขียนและสิ่งที่ทรงพลังมากที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ "ความเชื่อ" เราสร้างเครื่องบินได้สำเร็จจากความเชื่อของพี่น้องตระกูลไรท์ ที่แม้จะล้มเหลวและเจ็บปวดมากขนาดไหนพวกเขาก็ไม่เคยล้มเลิกเลย ซึ่งพวกเขาทำให้เราเห็นแล้วว่าความเชื่อของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไร้ขีดจำกัด ยิ่งเราเชื่อในตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งก่อเกิดการกระทำมากขึ้นเท่านั้น หากความเชื่อเก่า ๆ ฉุดรั้งเราไม่ให้ไปไหน คงไม่ผิดหากเราจะเริ่มสลัดโซ่ตรวนนั้นออก แล้วเดินไปสู่เส้นทางใหม่พร้อมกับความเชื่อใหม่ ๆ และการกระทำใหม่ ๆ ของตัวเราเองสำหรับคนที่กลัวการพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำยากและท้าทาย หนังสือเล่มนี้จะเปลี่ยนความคิดนั้นของคุณ หากต้องการเอาชนะความกลัวในใจคุณต้องเริ่มจากการลงมือทำ อย่ามัวแต่คิดหรือจินตนาการไปถึงสิ่งลบ ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น และมันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ในทุก ๆ การเดินทางไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ไม่มีใครที่สามารถล้วงรู้ได้ว่าเราจะเจออะไรในทางข้างหน้าบ้าง แค่เตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมแล้วลุยไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถก็พอ