สื่อดังสรุป 8 ข้อที่คอหนังทั่วโลกสงสัย หลังทรัมป์เล็งขึ้นภาษี 100% ในวงการหนังฮอลลีวูด

การประกาศตั้งกำแพงภาษีในวงการหนังฮอลลีวูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ "โดนัลด์ ทรัมป์" ล่าสุดนั้น ถือว่าเขย่าอุตสาหกรรมให้เรียกคืนสติได้เบา ๆ อีกครั้ง เพราะความตั้งใจที่จะเพิ่มอัตราภาษีขึ้นถึง +100% สำหรับผลงานหนังอเมริกันที่ไม่ได้ถ่ายทำในสหรัฐฯ ก็ทำให้มีแรงกระเพือมขวัญผวาได้อยู่ไม่เบา เพราะผลลัพธ์ที่ตามมาของมาตรการนี้ ล้วนแต่จะส่งผลเสียแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะขั้นตอนงานสร้าง ไปจนถึงปลายทางที่เป็นผู้ชมคนดูที่จะอาจจะต้องแบกภาระในการบริโภคเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงถึงตามไปด้วย
ล่าสุด The Hollywood Reporter สื่อชื่อดัง ได้ประมวลข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการตั้งกำแพงภาษีเพิ่ม 100% ในอุตสาหกรรมการผลิตของฮอลลีวูด ออกมาได้ทั้ง 8 ข้อที่น่าสนใจ ได้เป็นทิศทางและแนวทางที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ถ้าหากว่ามาตรการนี้ได้ข้อสรุปและออกเป็นข้อบังคับทางกฎหมายในภายภาคหน้า
หนังเรื่องใดจะได้รับผลกระทบในการตั้งกำแพงภาษีบ้าง? และจะมีผลย้อนหลังหรือไม่?
นับว่าเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันเรื่อยมาหลานทศวรรษที่กองถ่ายหนังฮอลลีวูดจะตระเวนออกไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อได้มาซึ่งโลเคชันสวย ๆ ในผลงานหนังของพวกเขา อีกทั้งยังมีแรงจูงใจด้านภาษีการถ่ายทำ ที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตของหนังลงไป เพราะการทำงานในสหรัฐฯ มีข้อจำกัดด้านภาษีในอัตราค่อนข้างสูง และยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี
แน่นอนว่าหากมาตรฐานการตั้งกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ก็จะยิ่งทำให้งบประมาณการสร้างหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เช่น A Minecraft Movie หนังที่ทำรายได้สูงที่สุดในปีนี้เรื่องล่าสุด พวกเขาถ่ายทำส่วนใหญ่ที่นิวซีแลนด์ และบางส่วนในแคนาดา หากว่ามาตรการนี้มีผลย้อนหลังในผลงานหนังเรื่องต่าง ๆ ที่ออกฉายไปแล้ว ก็จะทำให้หนังจากเกมเรื่องนี้อาจจะต้องเพิ่มทุนสร้างขึ้นไปอีก 100% ตามตัวเลขกำแพงภาษีนั่นเอง
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหนังสตรีมมิงเจ้าดัง ๆ อย่าง เน็ตฟลิกซ์ หรือ ไพร์ม วิดีโอ
สิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เผยแพร่ออกมาในแนวคิดของเขาทางโซเชียลมีเดีย จำกัดคำเฉพาะแค่ว่า 'ภาพยนตร์' ที่อาจจะต้องมีการนำไปตีความในแง่กฎหมายเพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะในปัจจุบันภาพยนตร์ไม่ใช่แค่เพียงหนังที่เข้าฉายโรงหนังอีกต่อไป แต่ฝั่งหนังสตรีมมิงออนไลน์ก็กำลังเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งหากว่ามาตรการตั้งกำแพงภาษีครั้งนี้ รวมไปถึงคอนเทนท์ภาพยนตร์และซีรีส์ในทุก ๆ แพลตฟอร์ม ก็น่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลกก็ว่าได้
เพราะหากมีการอัปภาษีขึ้นเป็น 100% ก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตหนังและซีรีส์สตรีมมิงออนไลน์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งคอนเทนท์ทางสตรีมมิงก็เต็มไปด้วยงานจากโปรดักชันนานาชาติที่่ร่วมกันเสิร์ฟความหลากหลายให้ผู้ชม ประเด็นหลัก ๆ ก็คืออัตราค่าสมาชิกของแต่ละแพลตฟอร์มนั้นจะต้องมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นสูงอีกอย่างแน่นอน แม้ว่าหลัก ๆ จะกระทบต่อผู้ใช้ในสหรัฐฯ แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกันว่าจะส่งผลกระทบไปต่อผู้ชมสตรีมมิงรายอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย
การตั้งกำแพงภาษีจะกระตุ้นการผลิตกลับมาที่สหรัฐฯ ได้จริงหรือ?
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่ไดพูดผิดอะไรกับคำว่าที่ว่า 'การผลิตหนังในอเมริกากำลังจะตายลง' เพราะข้อมูลสถิติก็พบว่าสัดส่วนของกองถ่ายหนังที่ใช้พื้นที่ในอเมริกาในการทำงานยังอยู่ทิศทางที่ลดลงอยู่เรื่อย โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ พบว่ามีกองถ่ายใช้พื้นที่ในลอสแองเจลิสในการถ่ายหนังลดลงถึง -22% จากเมื่อปีที่แล้ว และจัดได้ว่าสัดส่วนยังลดลงต่อเนื่องเกือบ -40% แล้วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพราะกองถ่ายเลือกย้ายฐานการผลิตไปทำการที่ประเทศอื่น ๆ ที่มีข้อดีในแง่การเสียภาษีในอัตราที่น้อยกว่าในสหรัฐฯ
แต่ว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นในกองถ่ายหนังฮอลลีวูดกลับมาทำงานในอเมริกาได้จริงหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการออกนโยบายรองรับการทำงานของวงการหนังในปัจจุบัน ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสตูดิโอต่าง ๆ หนีไปที่อื่นเพราะต้องการลดต้นทุนในการผลิต ที่การถ่ายหนังในอเมริกายังมีการจัดเก็บภาษีในอัตราที่ค่อนข้างโหดเอาเรื่อง หากทางภาครัฐไม่ได้มีมาตรการมารองรับในการทำงาน หรือมีตัวช่วยในการลดหย่อนในส่วนต่าง ๆ ก็อาจจะทำให้เป็นแรงจูงใจให้หนังอเมริกันกลับมาทำงานในอเมริกาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือบรรดาผู้สร้างหนงอิสระและหนังขนาดกลางถึงเล็ก ที่ไม่ได้พึงพาบุญบารมีของสตูดิโอหนังรายใหญ่ ๆ ก็อาจจะสูญเสียโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานของเขา เพราะไม่อาจจะสู้กับราคาภาษีการถ่ายทำหนังในประเทศได้ หรือในกรณีที่แย่ที่สุดของวงการหนัง ก็ถือการที่ผู้สร้างหันไปใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เข้ามาช่วยสร้างผลงานเพื่อลดต้นทุนแทน ที่ประเด็นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงในวงการหนังปัจจุบันอยู่เช่นกัน
นานาประเทศมีการตอบสนองอย่างไรกับประเด็นนี้
โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งจะปล่อยบอมบ์ลูกใหญ่ไปทั่วโลกกับคำขู่ตั้งกำแพงภาษีศุลกากรในอัตราที่เพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก แต่ในแง่การส่งผลหนังของอเมริกาก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญของโลกเช่นเดียวกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธุรกิจหนังและโรงภาพยนตร์ในปัจจุบัน ยังขับเคลื่อนไปได้ด้วยกระแสจากหนังฮอลลีวูดเป็นหลัก
ถ้าหากมาตรการนี้ถูกนำมาใช้ ก็น่าจะส่งทำให้การซื้อขายนำเข้าหนังฮอลลีวูดฉายในแต่ละภูมิภาคจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้ส่งผลในแง่ร้ายมากกว่า เพราะจะทำให้อัตราการขายหนังฮอลลีวูดค่อนข้างลดลง ทั้งที่วงการก็เพิ่งจะฟื้นตัวจากช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา มันอาจจะส่งผลต่อรายได้ทั่วโลกของหนังฮอลลีวูดที่จะมีสัดส่วนที่ลดต่ำลงได้ด้วยเช่นกัน เพราะนานาชาติมีการรัดกุมในการนำเข้าหนังฮอลลีวูดในสัดส่วนที่น้อยลงนั่นเอง
จะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายจัดจำหน่ายหนังจากต่างประเทศแค่ไหน?
การจัดซื้อหนังจากต่างประเทศเข้ามาฉายในอเมริกา เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างยากลำบากเสมอมานับตั้งแต่เมื่อในอดีต และการตั้งกำแพงภาษีในวงการหนังครั้งนี้ของทรัมป์ จะยิ่งสร้างโจทย์ที่ยากยิ่งขึ้นให้กับวงการจัดซื้อหนังเข้ามาฉาย ค่ายหนังอิสระค่ายเล็ก ๆ จะไม่มีกำลังในการจ่ายค่านำเข้าหนังดัง ๆ จากฝั่งยุโรปหรือเอเชียอีกต่อไป ในเมื่อภาษีได้เพิ่มขึ้นมาถึงสองเท่าตัว และยิ่งทำให้โลกภาพยนตร์ในสหรัฐฯ จะถูกปิดหูปิดตามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะจะไม่มีคอนเทนท์นานาชาติมาเสริมเพิ่มเติมได้เลย
แล้วขั้นตอนหลังการถ่ายทำจะเกี่ยวข้องกับการตั้งกำแพงภาษีหรือไม่?
การถ่ายทำหนังไม่ใช่แค่จำกัดความแค่เพียงขั้นการตอนการถ่ายทำหน้ากล้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขั้นตอนหลังการถ่ายทำแล้วเสร็จด้วย เพราะปัจจุบันหนังดัง ๆ หลายเรื่องของฮอลลีวูด ยังจำเป็นต้องใช้บริการโปรดักชันดัง ๆ จากฝั่งยุโรปและเอเชีย ในการช่วยพัฒนาในการตัดต่อภาพยนตร์ รวมทั้งการออกแบบเทคนิคพิเศษให้กับผลงานนั้น ๆ อยู่ ดังนั้นการตั้งกำแพงภาษีครั้งนี้ ยังจะต้องมาขีดข้อจำกัดทางกฎหมายอีกต่อไปว่า มาตรการนี้จะส่งผลรวมไปถึงขั้นตอนหลังการถ่ายทำเสร็จแล้วด้วยหรือไม่
การร่วมลงทุนสร้างกับค่ายหนังนานาชาติจะอยู่รอดได้อีกหรือเปล่า?
หนังฮอลลีวูดในปัจจุบันนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังจากสตูดิโอใหญ่ ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความทิศทางการลงทุนจะมาจากภายในสหรัฐฯ แหล่งเดียวเท่านั้น เพราะในแต่ละผลงานต้องมีการกระจายทิศทางไปหาแหล่งลงทุน หาโปรดักชันเจ้าอื่น ๆ เพื่อร่วมลงทุนสร้าง อย่างเช่น กลุ่มหนังหวังรางวัลต่าง ๆ ส่วนใหญ่ มักจะเป็นการจับมือสร้างระหว่างนายทุนฝั่งยุโรปกับสหรัฐฯ เพื่อเป็นการเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน ทั้งในแง่รายได้และกระแสรางวัล
หรือแม้กระทั่งพวกหนังแอคชันทุนสร้างระดับกลาง ๆ ที่นำแสดงโดย เจอราร์ด บัตเลอร์ หรือ เจสัน สเตแธม ผลงานหนังบู๊พวกนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะมีแหล่งลงทุนหลักเป็นโปรดักชันฝั่งยุโรปทั้งสิ้น ดังนั้นการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์ในครั้งนี้ ก็ไม่ต่างกับการตัดขาดในแนวทางปฏิบัติด้านการลงทุนผลิตภาพยนตร์ของวงการ ที่เหมือนเป็นการตัดเส้นเลือดที่สำคัญออกไปโดยใช่เหตุไม่น้อยเช่นกัน
ประเด็นนี้จะเกิดขึ้นจริงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดไหม?
สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่ายังไม่น่าวิตกมากนัก เพราะดูเหมือนว่าหลาย ๆ ฝ่ายมองว่าสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พ่นคำออกมานั้นก็เป็นเพียงคำขู่ที่น่าเบื่อหน่ายทั่วไป หากจะมีการตั้งกำแพงภาษีขึ้นมาจริง ๆ ในวงการหนังฮอลลีวูด คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะบังคับใช้มาตรการ เนื่องจากยังมีหลากหลายข้อกฎหมายและสาระต่าง ๆ ในแง่คำว่าภาพยนตร์ที่ยังกำกวมอยู่มากมาย ที่ทางภาครัฐจะต้องนำไปตีความและวิเคราะห์ออกมาเป็นข้อกฎหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่านี้
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ทรัมป์ออกมาเคลื่อนไหวประเด็นนี้ ทิศทางในวงการภาพยนตร์ไม่ค่อยจะมีความกังวลมากสักเท่าไหร่ เพราะหุ้นตัวสำคัญ ๆ ของบรรดาค่ายหนังต่าง ๆ มีการปรับตัวลดลงเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้นของดิสนีย์ หุ้นของเน็ตฟลิกซ์ หรือ หุ้นของวอร์เนอร์ฯ ที่ปรับตัวลดลงไปตามกลไกของตลาดแบบไม่มีนัยยะสำคัญอะไร
-------------------------------------
>> ดูหนังออนไลน์ได้ที่ Movie.TrueID <<
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับทรูไอดีสามารถเข้าไปได้ที่ TrueID Help Center เป็นช่องทางใหม่ที่ให้ข้อมูลและการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับทรูไอดี คลิกเลย >> https://bit.ly/3xEgdAa