Movie Review Civil War วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด (2024) หนังแอนตี้สงครามที่แทบไม่มีฉากสงครามเดินเรื่องในมุมมองที่แตกต่างแต่ดูสนุกลุ้นระทึกประหนึ่งอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนั้น บางครั้งการดูหนังมานานครึ่งค่อนของชีวิตก็ได้ผ่านตาหนังแนวต่างๆมานับจำนวนไม่ถ้วนแน่นอนก็มีอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่พลาดหลงหูหลงตาหรือว่าไม่อยู่ในความสนใจ ยิ่งในวันที่อายุมากขึ้นเข้าสู่วัยอาวุโสที่เวลาในแต่ละวันต้องทำงานหาเลี้ยงปากท้องย่อมต้องจัดสรรเวลาเพื่อการนั้นมากกว่าการดูหนังจึงเป็นทางเลือกที่สองและผู้เขียนอยู่ในจำพวกนั้น ด้วยงานที่ทำในปัจจุบันและที่พำนักที่ไม่มีโรงหนังความบันเทิงหลักจึงอยู่ที่ระบบสตรีมมิ่งที่ต้องขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ทันเทคโนโลยีนี้ เพราะนั่นทำให้สามารถเข้าถึงหนังที่ไม่มีโอกาสได้ดูในโรงแน่นอนส่วนเรื่องความสนใจนั้นผู้เขียนในวัยปัจจุบันเริ่มมองหาอะไรที่ดูแปลกใหม่เพราะชีวิตการดูหนังผ่านอะไรมาเยอะพอตัว จนมาสะดุดตาหนังเรื่องนี้ที่ความจริงก็พอเห็นผ่านๆบ้างทางการประชาสัมพันธ์แต่ตอนเข้าโรงคงไม่มีใครชวนขับรถไปกลับสามร้อยกว่ากิโลไปดูด้วยกันแน่นอน จึงต้องพึ่งทางจอใหญ่ที่บ้านที่อรรถรสอาจไม่เท่าโรงหนังแต่ก็ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้แล้วสำหรับคนรักหนังคนหนึ่ง ในอนาคตไม่ไกลประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดสงครามกลางเมืองที่รัฐทางตะวันตกประกาศตังแยกประเทศและตั้งกองกำลังต่อต้านรัฐบาลกลาง จนเมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายต่อต้านมองเห็นชัยชนะรำไรและน่าจะยึดเมืองหลวงคือวอชิงตัน ดีซีได้ในอีกไม่นานช่างภาพข่าวสงคราม Lee (Kirsten Dunst) ที่ได้พบกับช่างภาพหน้าใหม่ Jessie (Cailee Spaeny) โดยบังเอิญและได้ช่วยชีวิตเธอไว้ ซึ่ง Lee ตัดสินใจจะเดินทางข้ามประเทศเพื่อไปถ่ายภาพวาระสุดท้ายของประธานาธิบดีผู้ฉ้อฉลร่วมกับ Joel (Wagner Moura) และนักข่าวอาวุโส Sammy (Stephen McKinley Henderson) แต่การเดินทางขามประเทศทางรถยนต์ผ่านพื้นที่ต่างๆที่มีการสู้รบไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะกับหน้าใหม่อย่าง Jessie ที่สิ่งที่ต้องพบระหว่างทางไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์และสะเทือนใจ ทำให้ Lee ที่ไม่ค่อยพอใจนักที Jessie ร่วมทางมาด้วยต้องประคับประคองจนเหมือนไม่ต่างจากการถ่ายทอดจิตวิญญาณให้โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัวแล้วทั้งหมดจะไปถึงดีซีหรือไม่ เป็นหนัง Road Trip มากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชันขายฉากสงครามและเลือกเสนอในมุมต่างไป แรกเลยสารภาพว่าผู้เขียนคาดหมายว่านี่คะเป็นหนังแอ็กชันสู้รบกันกลางเมืองในโลเกชันที่คุ้นเคยจากที่เคยเห็นมาในหนังอเมริกัน แต่หนังกลับไม่ทำอย่างนั้นคือไม่เน้นแอ็กชันสู้รบแต่การกำกับผ่านบทภาพยนตร์ของตัวเองของ Alex Garland เรื่องนี้เสนอตัวเป็นความต่าง ซึ่งจะว่าเป็นความแปลกใหม่ก็ใช่ที่แต่มุมที่คนดูมองเข้าไปมันต่างไปนั่นคือเป็นมุมของนักข่าวช่างภาพสงครามที่ต้องอยู่ในสนามรบเหมือนทหารจริงๆ ทำให้เหมือนเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นและการเสนอตัวเป็นงานแนว Road Trip ก็ทำให้เรื่องมีพัฒนาการเพราะทุกการเดินทางจะมีประสบการณ์ใหม่ๆเสมอแต่คราวนี้เป็นการผจญภัยข้ามประเทศอเมริกาที่ยังแอบนึกถึงหนังหรือซีรีส์หลังโลกล่มสลายบางเรื่องได้ แน่นอนการเชื่อมโยงเรื่องราว Alex Garland ยังทำได้ดีจากจุดเริ่มที่พาคนดูไปรู้เหตุการณ์ในอเมริกาที่เหมือนไม่มีฉากสงครามก่อนพาไปยังการสู้รบที่ดุเดือดที่เห็นเป็นมุมมองที่แตกต่างในตอนท้ายและเมื่อเวลานั้นอะไรๆที่ผ่านมาก็พัฒนาจากจุดเริ่มมาสู่จุดสูงสุดแล้ว ความตื่นเต้นเร้าใจอยู่ที่การเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จนกลายเป็นงานแอนตี้สงครามได้แบบเนียนๆ เมื่อมุมในการมองต่างไปสิ่งที่อาจเคยเห็นก็อาจเห็นในมุมต่างหรืออาจเรียกได้ว่าใกล้ชิดขึ้นกับการเก็บภาพเหตุการณ์ที่ต้องผ่านความชาชินขนาดไหน ความเร้าใจแรกคือคณะเดินทางคณะนี้จะไปถึงวอชิงตัน ดีซีได้อย่างไรกับการขับรถข้ามประเทศที่กำลังทำสงครามห้ำหั่นกัน ต่อมาคือเหตุการณ์รายทางที่มีทั้งสะเทือนอารมณ์เมื่อภาวะยากแค้นทำให้คนชาติเดียวกันกับกับคนชาติเดียวกันอย่างไม่เหลือความเป็นมนุษย์เพียงเพื่อความต้องการมีชีวิต ทั้งยังต้องเดินทางผ่านการต่อสู้เล็กน้อยที่เหมือนมีเพียงไม่กี่คนแต่ในคนหมู่มากมีคนดีย่อมมีคนชั่วที่คิดไม่เหมือนกันและการฝ่าอุปสรรคนั้นก็ตื่นเต้นแทบกลั้นหายใจบางบางครา นั่นเพราะด้วยมุมมองที่ต่างไปเหมือนกับคนดูเองที่เป็นหนึ่งในช่างภาพด้วยการเสนอภาพออกมาเป็นภาพถ่ายที่สะเทือนใจจึงไม่ต่างจากการอยู่ในเหตุการณ์จนมองเห็นความโหดร้ายของสงครามที่คนเพียงไม่กี่คนที่ทำให้ต้องสูญเสียเลือดเนื้อและในที่นี้คือคนชาติเดียวกัน กระนั้นบริบทนี้ก็สามารถกระตุกได้ในภาพใหญ่ทำให้กลายเป็นงานแอนตี้สงครามชั้นดีได้เนียนๆ การแสดงชั้นดีของ Kirsten Dunst ที่ทำให้สุขใจที่ได้ดูเธอแสดงได้อย่างสมวัยสำหรับคนที่ดูเธอมาตั้งแต่เด็ก ยอมรับโดยดีว่าผู้เขียนรู้สึกดีที่ได้เห็น Kirsten Dunst แสดงเรื่องนี้เพราะผู้เขียนเองเริ่มได้เห็นเธอแสดงมาตั้งแต่ยังเด็กใน Interview with the Vampire: The Vampire Chronicles (1994) จากนั้นก็ผ่านช่วงเวลาที่เธอเปล่งประกายเต็มที่จนมาวันนี้ดูโรยราลงไปเยอะแต่ก็ยังดูดีสมวัย ยิ่งการแสดงที่เหมือนเป็นผู้ใหญ่กร้านโลกผ่านสมรภูมิมานักต่อนักที่คล้ายกับมาเป็นพี่เลี้ยงให้ Cailee Spaeny ทั้งในบทบาทและด้านการแสดง เพราะเห็นชัดเลยว่าการแสดงของ Kirsten Dunst คือตัวควบคุมโทนเรื่องและอารมณ์ของเรื่องทำให้ดูเหลื่อมจากเพื่อนร่วมจออยู่สองเสาไฟฟ้า จึงนับเป็นการแสดงชั้นดีที่เห็นความเหนื่อยหน่ายและกร้านที่สำคัญการถ่ายทอดจิตวิญญาณของการเป็นช่างภาพสงครามไปสู่คนใหม่ที่ไม่ต่างจากการสอนงานโดยไม่รู้ตัวที่มีพัฒนาการจับต้องได้แม้ไม่ต้องเล่าอย่างเป็นทางการ จนสุดท้ายภาพถ่ายของ Jessie และเหตุการณ์หลังจากนั้นก็อธิบายทุกอย่างโดยครบถ้วน เป็นความบันเทิงแบบเนื้อๆเน้นๆที่มีพัฒนาการจากเริ่มต้นไปจนบทสรุปที่ไม่อาจละสายตาจากหนังได้ ถ้าชอบความบันเทิงแบบลุ่มลึกค่อยๆเพิ่มขึ้นเหมือนการต้มน้ำที่จากอุณหภูมห้องจนค่อยๆร้อยและเดือดเมื่อถึงจุดเดือดเรื่องนี้คือแบบนั้นเนื้อๆเน้นๆ ด้วยการเริ่มเรื่องที่เหมือนไม่มีอะไรแต่ก็แอบมีอะไรเล็กๆให้คนดูคิดว่าน่าจะเดือดแต่ไม่ใช่เพราะนั่นคือความชอบธรรมให้การเดินทางครั้งนี้มีเหตุผลที่ต้องไป หนังมีพัฒนาการที่ดีเพราะธงที่ตั้งไว้ชัดเจนเมื่อการเข้าใกล้จุดสิ้นสุดสงครามคือเมืองหลวงของรัฐบาลที่เป็นแดนมิคสัญญีของนักข่าวยิ่งใกล้ก็ยิ่งอันตราย ทำให้ภารกิจนี้ไม่ต่างจากการฝ่าหมื่นตายเพื่อไปทำข่าวซึ่งต้องมีความเป็นนักข่าวในจิตวิญญาณขนาดไหนจึงจะทำแบบนี้ แล้วเมื่อต้องเดินทางผ่านสถานที่ต่างๆสิ่งต่างๆที่ต้องเจอความตึงเครียดก็เพิ่มขึ้นทีละน้อยจนแรกเลยที่ลุ้นแค่ว่าพวกเขาจะไปถึงที่หมายได้หรือไม่ จนต้องมาลุ้นว่าจะผ่านแต่ละด่านไปได้อย่างไรแล้วเมื่อถึงเวลาก็ขอหน่อยเพราะคนดูก็รอมานานแล้วก็ฉากรบที่ดุเดือดสมใจในตอนท้ายซึ่งเดือดจริงสุดจริง ทำให้ตลอดการเดินทางไม่อาจละสายตาจากหนังได้เพราะแรงดึงดูที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุดในเวลาอันสมควร ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก จาก Instagram a24 ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram civilwarmovie Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์