ส่องชีวิตพระเอก "เฟิสท์ เอกพงศ์" ผันตัวเป็นพ่อค้าก๋วยเตี๋ยว ยันไม่เคยปิดบังเรื่องครอบครัว
ส่องชีวิตพระเอกดังสู้ชีวิต "เฟิสท์ เอกพงศ์" ที่ล่าสุดผันตัวเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว พร้อมแก้ข่าวเมาท์เป็นนักแสดงขาลงจนต้องหาอาชีพสำรอง เผยจุดเปลี่ยนในวัย 42 ปี กับกระแสที่กำลังมาแรงชั่วข้ามคืน สาววายจับจิ้น เกี๊ยก-เฟิสท์ ที่เรียกได้ว่าเคมีดีเว่อร์ ทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกร
ส่องชีวิตพระเอก "เฟิสท์ เอกพงศ์" ผันตัวเป็นพ่อค้าก๋วยเตี๋ยว ยันไม่เคยปิดบังเรื่องครอบครัว
ก๋วยเตี๋ยวเรือร้อยล้านมายังไง ?
“ร้อยล้านไม่ได้หมายความว่าผมขายได้ร้อยล้าน แต่มันเป็นเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ เหมือนเป็นเป้าหมายของธุรกิจเรา ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนเราจะได้รู้ว่าทำยังไงให้มันไปถึง”
การที่ไปขายก๋วยเตี๋ยวเป็นเพราะวางแผนที่จะเกษียณหรือถอยหลังออกจากวงการบันเทิง ?
“ไม่จริงเลย ยังไม่คิดออกจากวงการบันเทิงเลย เรายังแฮปปี้มีความสุขในวงการอยู่ อยู่มาตั้งนานแล้วก็อยากจะอยู่ต่อและต่อๆไป”
ทำไมต้องเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ ?
“เพราะว่ามันเป็นจังหวะมากกว่าคือที่บ้านทำอาหารทานเองแล้วช่วงโควิดเป็นช่วงที่ไม่ได้ออกไปไหน บางทีก็ทำอาหารเผื่อเพื่อน เผื่อเพื่อนบ้าน แล้วก็ทำขายในหมู่บ้าน เราก็ลองทำขายดู จากหมู่บ้านเราก็ไปหมู่บ้านอื่น ก๋วยเตี๋ยวเรือเราได้รับฟีดแบ็คดี”
มีคนให้สมญานามคุณว่า พระเอกสู้ชีวิต ?
“ขนาดนั้นเลยหรอครับ มันเหมือนเป็นโอกาสอีกช่องทางหนึ่งของผมดีกว่า ผมก็เลยลองทำดู เผื่อมันจะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งหรือมันจะเป็นโอกาสที่ดีที่ทำให้เราจะมีชีวิตดีขึ้น”
คนก็เมาท์เป็นเพราะเราขาลงหรือเปล่า เราเลยต้องหาอาชีพซัพพอร์ต ?
“เดี๋ยวนี้มันมีอาชีพหลากหลาย เขาจะชอบพูดว่าอาชีพเดียวไม่พอนะ มันก็จริงถ้าในยุคสมัยนี้ แล้วถ้าเรามีอาชีพสำรองที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ไป ยิ่งเรามีช่องทางหลายช่องทาง ความเสี่ยงก็จะลดลง ผมว่าเป็นเรื่องอะไรที่ดี ใครมีอะไรทำก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี”
อยู่ในวงการมากี่ปีแล้ว ?
“15 ปี”
กว่าจะตัดสินใจเข้าวงการบันเทิงจุดเริ่มต้นคุณเอ ศุภชัย ต้องไปจีบเป็นปี ไซต์งาน โรงงานก่อสร้างใด ๆ เพื่อจะให้มาเป็นพระเอก พี่เอเจอคุณเฟิสท์ที่ไหน ?
“ผมเรียนวิศวะที่เชียงใหม่ แล้วพี่เอมีเพื่อนสนิทอยู่ที่นั่น น่าจะเห็นผมตั้งแต่สมัยเรียน พอจบปี 4 มาทำงานในโรงงาน ไม่ถึงขนาดไซต์งาน แล้วเขาก็โทรมา “น้องเฟิสท์นี่พี่เอนะ สนใจเข้าวงการมั้ย” ด้วยความที่ผมเด็กบ้านนอกไม่รู้อะไรเลยแล้วก็เรียนวิศวะ ทีวีก็ไม่ค่อยได้ดู แล้วให้รามาทำงานในวงการ คืออะไร แล้วเราต้องทำยังไง เรารู้แค่ว่าถ้าให้ผมไปทำงานวิศวกรผมทำได้ ก็บอกพี่ผมยังไม่ไป แกก็โทรๆ ชักแม่น้ำทั้งห้าเลย”
เรียกได้ว่าทาบทามอยู่เป็นปี ปีกว่า ?
“ระยะเวลาผมไม่แน่ใจ่ แต่เกือบ ๆ ปี”
อะไที่ที่ทำให้คุณตัดสินใจว่าโทรมาขนาดนี้ไปก็ได้ ?
“หลายอย่าง พอเราทำงานไปซักพักนึงเราก็เริ่มมองหาว่าถ้าเราทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆเราจะเป็นยังไง เราก็ดูคนที่ก้าวหน้ามากกว่าเราหรือเรามีงานอื่นที่ทำมันจะดีมั้ย บวกกับได้คุยกับที่บ้าน คุยกับเพื่อน มีอยู่คำนึงคือเขาบอกว่าก็ลองดูดิ่มันก็เป็นโอกาสนะ คนอื่นอาจจะอยากจะเข้าไปแต่ไม่มีโอกาสนะ เออจริงว่ะ เรามีโอกาสแล้วลองซักหน่อยดีมั้ย”
นี่คือ 1 ประโยคที่พลิกชีวิตเลย ?
“ใช่ มันไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าไม่ได้ก็กลับมาทำงาน”
พอเข้ามามีอยู่หนึ่งคำ คำนี้บูมชอบมาก “ฟังให้ได้ยิน” คืออะไร ?
“แรกๆคือเด็กวิศวะเหมือนกัน อยู่ดีๆจับเด็กวิศวะมาเล่นละครจากตรรกะแล้วก็มาเป็นศิลปะ มันคนละด้านเลย แล้วผมก็ไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ที่ของผม ให้ผมมาเล่นละคร ตอนนั้นได้เรียนแอ็คติ้งนิดเดียวมากหลายคนชอบสอนเวลาเล่นละครเราต้องมีรีแอ็คกับคนที่เล่น เราต้องฟังเขาให้ได้ยิน ผมอ่ะงงกับคำนี้มากเลย เพิ่งมาเก็ตตอนหลังๆนี่เอง ตอนนั้นแค่ฟังอย่างเดียวไม่ได้รู้สึก พอเราเล่นมาซักเรื่องสองเรื่องสามเรื่อง อ๋อ เข้าใจละ การฟังให้ได้ยินมันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
แล้วต้องปรับตัวเยอะมั้ย ?
“เยอะ เยอะมาก สมัยก่อนเป็นคนไม่มีจินตนาการไม่มีอะไรเลย”
กี่เรื่องกว่าจะเข้าที่เข้าทางกับการเล่นละคร ?
“ของผมน่าจะ 2-3 เรื่อง”
นักแสดงที่เข้ามาใหม่ๆจะได้ฉายาว่า เดอะร็อค ต้นไม้ เรามีคนแซวมั้ย ?
“มีๆ ส่วนใหญ่เพื่อนๆแซว ที่บ้านก็แซว เล่นเป็นก้อนหินหรอ”
พอผ่านไป 15 ปีเคยมีท้อไม่อยากอยู่แล้ววงการบันเทิง ?
“ตอนนี้ไม่มี แต่สมัยก่อนมี”
ขอบคุณรายการ คุยแซ่บShow
กี่ปีแรกที่แว้บว่าเราไม่เหมาะหรือเปล่า ?
“น่าจะซักประมาณ 3-4 ปีแรก”
อะไรทำให้ท้อแล้วรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ของเรา ?
“เหมือนเราทำอะไรก็ไม่ถูก แล้วอีกอย่างผมก็ตัวคนเดียวไม่ค่อยได้ปรึกษาใคร คิดวนของมันไปเอง คิดจนขนาดที่ว่าอาชีพนี้มันไม่โอเคหรือเปล่า โทษโน่นโทษนี่ อาชีพนี้มันไม่ค่อยมั่นคงหรอก เต้นกินรำกิน ไปทำอาชีพอื่นดีกว่ามั้ย บางทีไปกองแล้วช่วงนั้นเป็นเด็กใหม่บางทีก็โดนว่าบ้าง โดนกดดันบ้าง ก็ท้อ บางทีเล่นไม่ได้”
กี่เทค เคยจดสถิติมั้ย ?
“ไม่เคยจด แต่เป็นสิบ จริงๆคนรอบข้างเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่เรานี่แหละแค่ไปมองหน้าเขา เขาต้องไม่ชอบเราแน่เลยเราสร้างปัญหาโน่นนี่นั่นหลายสิ่ง ขับรถกลับบ้าน ทำไมวันนี้เป็นแบบนี้”
เคยโดนว่าอะไรที่ทำให้เราจุกที่สุด ?
“จุกที่สุดหรอ จำไม่ได้ เยอะจนจำไม่ได้ บางเรื่องเฟลเลยนะ คิดแค่ ณ ทำงานตอนนั้นมันเซ็ง มันเฟล ที่บ้านก็สอนอดทนลูก อดทน สมัยก่อนชอบสอน อดทนลูก อดทน เราก็ฝ่าฟันทน ทนจนมันอยู่ถึงทุกวันนี้”
ฉากแรกที่เล่นเล่นกับ มี๊ พิศมัย ?
“ใช่ โอ้โหฉากแรก มี๊ พิศมัย แต่มี๊น่ารักมาก มี๊คุยด้วยมี๊บอกว่าปกติมี๊จะเข้าไปคุยกับนักแสดงใหม่ๆก่อนอยู่แล้ว เพราะมี๊เข้าใจว่าหนูๆไม่กล้ามาคุยกับมี๊หรอก มี๊ก็น่ารัก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ เราก็กดดันอยู่ดี(หัวเราะ) บางวันผมไม่อยากตื่นมากองอีกเลย”
เราผ่านตรงนั้นมาได้ยังไง ?
“ผมว่าส่วนหนึ่งต้องอาศัยความอดทนแล้วอาจจะต้องเป็นพวกคำปรึกษาจากคนรอบข้างแล้วสุดท้ายมันต้องเป็นตัวเราต้องเอามาคิดเอง แล้วก็เอามาตกผลึกเองจริงๆแล้วสิ่งที่เราทำอยู่มันโอเคมั้ย มันดีมั้ย เราควรจะทำมันต่อไปมั้ย ตอนนั้นผมก็คิดว่าอาชีพนี้มันก็เลี้ยงผมมาได้จนถึงทุกวันนี้นะ มันคืออาชีพหลักของผม 15 ปีผมว่สามันเป็นอาชีพที่เราได้เจอผู้คนเยอะ แล้วเราก็ได้โอกาส คือผมได้โอกาสจากอาชีพนี้เยอะมาก”
ล่าสุดมีคู่จิ้น ไปเล่นกับระบบสายวายได้ยังไง ?
“ผมชอบท้าทายระบบครับ(หัวเราะ) อันนี้ก็งงมาก เพราะว่าจากละครเรื่องหนึ่งเล่นด้วยกันน้อยมาก ไม่กี่ฉากเองที่เช้าด้วยกัน แต่มีอยู่ฉากหนึ่งมันเป็นฉากที่เหมือนกับเราได้มองกันแล้วถามว่า เป็นยังไงบ้าง จำพี่ได้มั้ย ไม่ได้เจอกันมานาน แล้ววันนั้นก็ดูละครอยู่นะก็เริ่มมีเพื่อนส่งมาให้ดู ซักพักเกี๊ยกก็มาเลย พี่ๆฉากเราอยู่ในออนไลน์เต็มเลย ก็เลยเข้าไปดูก็แปลกใจ มันเยอะมาก แล้วคนเอาไปตัดโน่นนี่นั่น เราก็ไปนั่งดู เราก็เพิ่งเริ่มเข้าใจ”
เข้าใจว่ายังไง ?
“เข้าใจว่าเขาจิ้นอะไรกันแบบนี้”
เวลามองตาคุณเกี๊ยกรู้สึกยังไง ?
“รู้สึกมันจะขำอยู่ตลอดเวลา(หัวเราะ)”
คุณเกี๊ยกเขาเป็นคนยังไง ?
“เกี๊ยกเขาน่ารัก เขาเป็นน้องที่น่ารัก เราก็เจอกันมานาน เจอกันตามงานช่อง มีเล่นละครด้วยกันแต่ไม่ได้เข้าด้วยกันเยอะมาก”
มีด้อมเขาอยากให้ทำคอนเทนต์กันหวาน ๆ ?
“ตอนนี้ก็ไปทำกันอยู่”
เขาฟินกันเบอร์ไหน ?
“ก็หลายเบอร์อยู่นะ”
ด้อมนี้เดินทางมาได้ขนาดนี้คิดว่าเป็นเพราะอะไร แค่ฉากเดียวจนมันกลายเป็นด้อม บางคนเล่นทั้งเรื่องเลยนะ ?
“ไม่รู้อะ ก็พยายามศึกษาเรื่องนี้อยู่”
งานคู่มาหรือยัง ?
“ยังไม่มาแต่รอติดต่ออยู่นะครับ”
ถ้าลูกค้าอยากจ้างให้ไปยืนจ้องตากันได้มั้ย ?
“ได้ ๆ แค่จ้องตาเหรอครับ”
จับมือได้มั้ย ?
“จ้องตาก็พอแล้ว”
ถ้าคุณเกี๊ยกดูอยู่อยากจะบอกอะไรคุณเกี๊ยก ?
“ถ้าเกี๊ยกดูผมอยู่ เดี๋ยวนัดกัน แต่แปลกใจอย่างหนึ่งมีแฟนคลับเขาไปขุดมา ผมเพิ่งรู้ว่าผมกับเกี๊ยกเจอกันมานานมาก เจอกันงานโน้นงานนี้เยอะมาก แต่มันนานมากจนเราจำไม่ได้”
กระแสคู่จิ้นดีเวอร์ ภรรยาตัวจริงว่ายังไงบ้าง ?
“ก็คือตอนแรกอยากรู้เหมือนกันเขาคิดยังไง เมื่อเช้าเพิ่งถาม หมู ๆ เขามีคู่จิ้นรู้สึกยังไงอะ หันมาถามว่าคู่จิ้นคืออะไร สบายใจแล้ว ไม่รู้แล้ว”
แต่งงานกันมา 6 ปีแล้ว มีพยานรัก 1 คน มีทะเลาะอะไรกันบ้างมั้ย ?
“มี จริง ๆ ผมสองคนไม่ค่อยเหมือนกันเลย เหมือนคนละขั้วกันเลย เมื่อก่อนคือทำงานด้วยกันไม่ได้ทะเลาะกัน คนหนึ่งพูดจะไม่ค่อยพูดเข้าหูอีกคนนึง แต่หลังหลังก็ดีขึ้น เหมือนเราพยายามปรับ พยายามฟังเขามากขึ้นเขาก็พยายามฟังเรามากขึ้น แล้วก็ค่อยๆคุยกัน พยายามใจเย็นๆ”
ทำไมถึงไม่ค่อยพาภรรยาออกสื่อ ?
“จริง ๆ ไม่ได้ปิดอะไรเลยไปไหนก็ไปด้วยกันไปกับลูก แต่เขาไม่ได้มายุ่งเรื่องงาน เขาก็งานเยอะ ต่างคนต่างทำงานมากกว่าไม่ได้ปิดบังอะไรเลย”
ลูกชายห้าขวบเห็นว่าสำเนาจากคุณมาเลย ?
“เหมือนผมมาก บางทีนิสัยอะไรบางอย่างผมกลับมานึกถึงนิสัยผมตอนเด็กๆ คล้ายๆผมเลย ตอนนี้เหมือนมีโลกส่วนตัว ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง จริงๆอยากพาลูกไปกอง อยากให้เค้าไปเจอคน ให้เห็นว่ามันมีงานแบบนี้ เคยพาไปแล้วสองครั้ง ไม่ชอบ ถามว่าทำไมน้องภามไม่ชอบมาทำงานกับพ่อ เขาบอกว่าไม่ชอบคนมายุ่งกับน้องภาม”
พาเข้าวงการมั้ย ?
“ไม่ได้ให้เขาต้องเข้าวงการ อย่างที่พาไปกองก็แค่อยากให้เขาได้เรียนรู้ แต่ถ้าวันนึงเค้าอยากจะเป็นก็พร้อมซัพพอร์ต ถ้าไม่อยากเป็นก็แล้วแต่เขาเลย ไม่ได้บังคับอะไรเอาที่เขาชอบ อย่างเรื่องเรียนก็ไม่ได้บังคับนะว่าต้องเรียนเก่งๆ ถ้าเขาอยากเรียนอะไร เช่นอยากเรียนเทควันโด อยากเรียนตีแบด เดี๋ยวซัพพอร์ต แล้วสุดท้ายให้เขาไปคิดของเขาเองอยากทำอะไรก็ทำ เรามีหน้าที่คอยสนับสนุน แล้วก็ดู สอน ให้เค้าอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง ให้คำแนะนำในสิ่งที่ถูกต้อง”
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama