รีเซต

[รีวิวซีรีส์] "Duty After School" หนังสือก็ต้องเรียนเอเลี่ยนก็ต้องฆ่า! ไซไฟโหด มัน สะใจ ดูได้เพลิน ๆ

[รีวิวซีรีส์] "Duty After School" หนังสือก็ต้องเรียนเอเลี่ยนก็ต้องฆ่า! ไซไฟโหด มัน สะใจ ดูได้เพลิน ๆ
แบไต๋
22 เมษายน 2566 ( 09:00 )
807

จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือถูกส่งไปฆ่าเอเลี่ยน มันก็เสี่ยงตายพอ ๆ กันนั่นแหละ!

ใครเป็นแฟนหนังหรือซีรีส์สาย Survival เอาชีวิตรอดที่ได้เห็นภาพโปรโมทของซีรีส์ DUTY AFTER SCHOOL เรื่องนี้ ก็ต้องแอบมีนึกถึงหนังโหดฝั่งญี่ปุ่นสุดคลาสิกอย่าง Battle Royale (2000) เกมนรกโรงเรียนพันธุ์โหด กันบ้างล่ะ ด้วยความที่มันมีจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน อย่างการนำเอาเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาบังคับให้แบกรับภารกิจสุดโหดอำมหิต เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์บางอย่างที่มีเพียงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเป็นผู้ตัดสินใจชี้เป็นชี้ตายเท่านั้น ความหอมหวานของเรื่องราวเหล่านี้คือการที่เราจะได้เห็นเหล่าเด็กนักเรียนร่วมห้องที่ต่างคนก็ต่างบุคลิก ต่างพื้นฐานครอบครัว และต่างมีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่กลับต้องถูกจับโยนมาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายด้วยกันอย่างไม่มีทางเลือก ไม่มีทางหนี มีเพียงปืนหนึ่งกระบอกกับ Skill การเอาชีวิตรอดของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้เด็กไร้วุฒิภาวะเหล่านี้รอดตาย 

เนี่ยแหละคือเสน่ห์อันน่าหลงไหลของหนังสไตล์นี้ที่เราคาดหวังว่าจะได้เห็นใน DUTY AFTER SCHOOL แบบที่เคยเห็นมาแล้วในหนังของรุ่นพี่เรื่องที่ผ่าน ๆ มา ทีนี้ก็ต้องมาดูกันแล้วล่ะว่าจะสมหวังแค่ไหน

เรื่องย่อ

เมื่อวัตถุทรงกลมหน้าตาประหลาดปรากฏตัวอยู่เหนือน่านฟ้าปกคลุมชั้นบรรยากาศไปทั่วทุกมุมโลก มันอยู่อย่างจำศีลอย่างนั้นมานานถึง 1 ปี แบบที่ไม่มีใครคาดเดาหรือคิดวิธีรับมือกับมันได้ รัฐบาลเกาหลีใต้เลือกที่จะปกปิดข้อมูลและระดับภัยคุกคามของมันไว้ จนกระทั่งวันที่มันจะแผลงฤทธิ์ก็มาถึง วันเดียวกันกับที่เหล่านักเรียน ม.6 กำลังจะสอบซูนึง (สอบใหญ่เข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ) แต่กลับถูกบังคับให้ไปเตรียมตัวเข้ารับการฝึกทางทหารโดยทันทีอย่างไม่มีการแบ่งแยกเพศ ไม่มีการคัดกรองความสามารถ มีเพียงแต่ความหวังที่หากรอดไปถึงปลายทางได้ ก็จะได้รับคะเแนนพิเศษในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แน่นอนว่าไม่มีเด็กในเกาหลีใต้คนไหนอยากทิ้งอนาคตตัวเองไปง่าย ๆ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าสนามรบของจริงที่รออยู่ข้างหน้ามันทั้งโหดจริง เจ็บจริง และมีสิทธิ์ตายได้จริง เพราะเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการฝึกให้เด็กเหล่านี้ไปจัดการไม่ใช่โจทย์เลขอันแสนยาก แต่เป็นสัตว์ประหลาดเขมือบคนสุดบ้าคลั่งจากนอกโลก

 

ความรู้สึกหลังดู

สารภาพเลยว่าเป็นแฟนเดนตายของหนังเอาชีวิตรอดระดับขึ้นหิ้งอย่าง Battle Royale (2000) มาตั้งแต่ป.6 แถมยังเป็นเอฟตีตัวยงของหนังดราม่าแอ็กชันสุดสะเทือนใจอย่าง The Hunger Games แบบอ่านหนังสือครบทุกภาค ทำให้อดไม่ได้ที่จะสถาปนาตัวเองเป็นผู้ที่โปรดปรานเรื่องราวความโหดร้ายและความเป็นจริงอันบิดเบี้ยวของโลกดิสโทเปียแบบสุด ๆ พอได้เห็นโปสเตอร์ DUTY AFTER SCHOOL ครั้งแรกก็เรียกได้ว่ากระแทกตากระแทกใจ ชวนให้รู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน เพราะมันนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่โลกภาพยนตร์ไม่มีหนังหรือซีรีส์แนวนี้มาให้ได้ดูอีกเลยนับตั้งแต่ เกมล่าเกม จบ แต่ด้วยความที่เค้าเป็นซีรีส์สัญชาติเกาหลีใต้ที่ถูกดัดแปลงมาจากการ์ตูนดังใน NAVER WEBTOON ก็ทำให้เราไม่ได้ตั้งความหวังมากจนเกินไป (วัดด้วยประสบการณ์ดูซีรีส์จาก WEBTOON ที่ผ่านมาอะนะ) และผลจากการที่ไม่คาดหวังมากมายก็ทำให้เราได้รู้จักกับซีรีส์สนุก ๆ ดูเพลินแบบกดหยุดไม่ได้อีก 1 เรื่องทันที

ซีรีส์เปิดด้วยช่วงเวลาอันแสนทรมานของเหล่าเด็กม. 6 ที่การสอบซูนึง (สอบเข้ามหาวิทยาลัย) คือสิ่งเดียวที่ใกล้เคียงนรกมากที่สุด แม้ว่าการทำผิดพลาดไปแค่คะแนนเดียวจะไม่ทำให้ใครตายแต่มันก็อาจเปลี่ยนอนาคตพวกเขาไปได้ตลอดกาล เพราะเด็กในโรงเรียนแห่งนี้เป็นเพียงหนุ่มสาวที่มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นประชากรส่วนใหญ่ในประเทศที่ไม่ได้มีกำลังมากพอจะส่งลูกให้ไปถึงฝันได้สบาย ๆ มหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำเท่านั้นคือชอยส์เดียวที่พวกเขามี การปูเรื่องราวตรงนี้ในซีรีส์ที่แม้ว่าจะใช้เวลานานและค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยในช่วงแรกกลับส่งผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะคนดูจะรู้สึกได้ถึงความยากลำบากของช่วงวัยนั้นที่หลายคนอาจลืมมันไป ซีรีส์พยายามโชว์ให้เห็นถึงความเครียดและกดดันที่เด็กแต่ละคนแบกรับมันไว้ ผ่านการตัดต่อที่ค่อย ๆ ลำดับเรื่องราวผ่านมุมมองของเด็กแต่ละคน พร้อมเล่าถึงพื้นฐานครอบครัวของเหล่าตัวละครหลักที่จะเข้ามาเพิ่มน้ำหนักให้เราเข้าใจพื้นเพตัวละครได้ง่ายขึ้นว่าทำไมเด็กเหล่านี้ถึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำทุกอย่างเพื่อ คะแนนพิเศษ ที่รัฐจะมอบให้ สะท้อนให้เห็นค่านิยมในสังคมเกาหลีใต้ที่การแข่งขันด้านการศึกษานั้นสูงเสียดฟ้า แข่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย เหมือนวกับคอนเซปต์หลักของเรื่องราวที่ต้องการสะท้อนมุมมองที่ว่าสมรภูมิซูนึงก็เปรียบได้กับสมรภูมิรบของทหารที่หากแพ้ก็ตาย ตายไปจากโอกาสดี ๆ มากมายในอนาคต ตายไปจากการโดนยอมรับจากสังคม หรือแม้กระทั่งตายที่แปลว่าตายเพราะไม่อาจทนแบกรับความผิดหวังของตัวเองและพ่อแม่ได้ แบบที่เราได้เห็นกันบ่อย ๆ บนหน้าข่าวออนไลน์

ถึงแม้จะไม่ได้พูดแบบตรงไปตรงมา แต่ซีรีส์ก็พยายามนำเสนอสัญญะบางอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาความกดดันมากมายที่เด็กหลายคนถูกพ่อแม่ฝังความฝันและฝากความสำเร็จ (ที่ตัวเองทำไม่สำเร็จ) เอาไว้และหวังจะให้ลูกสานต่อมันแทน ทั้งทีเด็กบางคนยังไม่รู้เลยว่าจะเข้าร่วมโครงการพิเศษนี้เพื่อแย่งเอาคะแนนพิเศษที่ว่าไปทำอะไร ในเมื่อพวกเขายังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าความฝันที่มีเป็นของตัวเองหรือของใครกันแน่ พอเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ซีรีส์เฉลยว่าเด็กเหล่านั้นกำลังต้องเข้ารับการฝึกทหารเพื่อไปสู้กับตัวอะไร การที่เราแทบไม่เห็นท่าทีตกใจ เสียขวัญ หรือพยายามขัดขืนแบบจริงจังอะไรมากมายจากกลุ่มตัวละคร แถมยังยอมตามน้ำไปง่าย ๆ แม้จะรู้ว่าสถานการณ์ที่ว่ามันเสี่ยงตายแค่ไหน ก็ทำให้อดคิดว่าไม่ได้ว่านี่คือจุดบอดของเนื้อเรื่อง หรือคือรีแอ็กชันที่ผู้กำกับต้องการสื่อถึงประเด็นแรงกดดันจากสังคมที่เด็กทุกคนต้องแบกรับมากเกินไปจนทำให้เขารู้สึกไม่มีทางเลือก ความไร้เดียงสาของเด็กที่เติบโตมาในสังคมนี้ อาจทำให้พวกเขาคิดแค่ว่าระหว่างการไม่มีคะแนนพิเศษไปใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยกับการถูกส่งไปเสี่ยงตายสู้กับเอเลี่ยน ความน่ากลัวมันก็พอ ๆ กันอยู่ดี!

พอผ่านช่วงแรกที่ชวนสับสนไปได้ ซีรีส์ก็ปรับจังหวะการเล่าเรื่องให้เร็วขึ้นไปพร้อม ๆ กับเรื่องราวที่ดุเดือด เพราะเมื่อความลับถูกเปิดเผยว่าเด็กเหล่านีักำลังจะถูกฝึกให้ไปรบกับเอเลี่ยนเขมือบหน้าสุดบ้าคลั่งซึ่งจะต้องมีคนตายขึ้นมาจริง ๆ ช่วงเวลาของการเผยสันดานดิบของคนก็มาถึง ช่วงเวลาหฤหรรษ์ที่หลายคนรอคอยที่จะได้รู้ว่าใครมีแววจะเป็นเด็กเก่งหรือเป็นเด็กเปรตก็จะได้รู้กันตอนนี้นี่แหละ บอกเลยว่าในสมรภูมิแรกของเรื่องทีมงานก็จัดเต็มฉากโหดแบบไม่มีกั๊ก ทั้งชิ้นส่วนอวัยวะ ทั้งกองศพ ทั้งฉากฆ่าเลือดสาดก็มาหมด ต้องยอมรับเลยว่าจุดนี้เป็นจุดตีหัวเข้าบ้านที่ทำได้ดีเหนือความคาดหมาย ถูกจริตคนรอดูหนังโหดเข้าอย่างจัง เหมือนเราเป็นหมากที่เดินเข้ามาอยู่ในกระดานที่ผู้กำกับตั้งใจสร้างไว้ ดูออกว่าเป็นช่วงหนึ่งของซีรีส์ที่ผ่านการออกแบบฉากและคิดมาเยอะมากว่าจะเซอร์ไพรส์คนดูจังหวะไหน หรือจะเล่าเรื่องราวยังไงให้คนดูเข้าใจองค์รวมของฉากทั้งหมดนี้ได้ แม้ว่าจะมีบทพูดน้อยมากก็ตาม

ต้องชื่นชมว่าทั้งงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่ ทั้ง CG และเอฟเฟกต์สุดเนียนตา มาพร้อมมุมกล้องที่ทันสมัย จนรวมไปถึงความสมจริงของฉากและพร็อพประกอบหนังต่าง ๆ ทำออกมาได้ดีมากจนอดที่จะนั่งคำนวนทุนสร้างในหัวเล่น ๆ ไม่ได้ งานภาพที่ออกมาทำได้ถึงมากในเรื่องความสมจริงและความระทึกใจ จนพอดูผ่านครึ่งแรกไปได้คนดูอย่างเราก็เริ่มสบายใจว่าซีรีส์มาได้ถูกทางแล้ว เอาเป็นว่าช่วงนี้ปล่อยใจจอย ๆ แล้วนอนดูกลุ่มวัยรุ่นหน้าตาดีไล่ฆ่าเอเลี่ยนแบบสุดมันกันไปยาว ๆ เลยละกัน

เอาล่ะ ถึงแม้ทางเราดูเหมือนจะชื่นชมซีรีส์เรื่องนี้มาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าตัวซีรีส์ยังคงมีจุดบอดที่น่าขัดใจอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่นับความงี่เง่าของเหล่าตัวละครเด็กแสบที่ชอบหาเรื่องตีกันบ่อย ๆ อย่างไร้เหตุผล (ซึ่งมีแบบนี้ในแทบทุกเรื่อง) หรือแม้กระทั่งมีเวลาน้อยนิดเหลือเกินสำหรับการพาเราไปรู้จักพื้นเพและนิสัยใจคอของตัวละครให้มากกว่านี้ ก็คงต้องข้ามฝั่งไปพูดถึงเอเลี่ยนตัวร้ายที่นอกจากจะมีเบ้าหน้าคล้ายกับเอเลี่ยนจากหนังฝั่งอเมริกันเรื่องดังอย่าง Life สายพันธุ์มฤตยู (2017) จนนึกว่าเป็นโมเดลเดียวกัน เอ้ย เป็นหนังภาคต่อซะแล้ว แถมไอ้เจ้าเอเลี่ยนตัวนี้ที่ฉากรบในช่วงแรก ๆ แผลงฤทธิ์แบบแกรนด์โอเพนนิงโชว์ความน่ากลัวเอาไว้ซะดิบดี แต่จไหงช่วงหลัง ๆ ถึงรู้สึกเหมือนโดนผู้กำกับเนิร์ฟความโหดลงไป กลายเป็นตัวกีกี้ที่ได้แต่วิ่งหนีให้เด็กมันไล่ฆ่า กราฟความสนุกและเสน่ห์จากมิติตัวละครที่เคยได้ผลกับคนดูในช่วงแรกก็ค่อย ๆ ลดลงไปทีละน้อยจนน่าเสียดาย

บรรยากาศของเรื่องราวในช่วงหลังจึงกลายเป็นเพียงซีรีส์ Coming of age เน้นเจาะไปถึงปมดราม่าของเหล่าเด็ก ๆ ที่แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เรื่องราวทั้งหมดถึงขั้นเสียหายหรือเป๋ไปมากมาย แต่ก็แอบทำให้คนดูรู้สึกเซ็งอยู่ไม่น้อย ช่วงกลางของซีซั่นเลยออกจะจืด ๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีพอจังหวะพีคเล็ก ๆ ไว้ตรึงคนดูให้อยู่กับเรื่องราวต่อไปได้เรื่อย ๆ อยู่ดี

จนกระทั่งเรื่องราวเดินทางมาถึงช่วงท้ายของพาร์ท 1 ที่เราได้ผ่านมาหมดทั้งความโหด ความเศร้า ความสุข และเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครที่ทำออกมาได้ดีจนเรารู้สึกผูกพันกับเหล่าตัวละครเด็กแสบอย่างเต็มที่แล้ว ตามประสาซีรีส์เกาหลีที่ต้องขอทิ้งท้ายด้วยฉากยำรวมมิตรที่คราวนี้ซีรีส์กลับมาเล่นใหญ่อีกครั้ง เป็นอีกหนึ่งฉากสุดตื่นเต้นแบบลุ้นตัวโก่งที่เรารอคอยมานานหลังจากที่ทิ้งช่วงเอื่อยไปก่อนหน้านี้ แถมพี่แกยังคงวางจังหวะเรื่องราวแต่ละฉากได้ดี เป็นการวางระเบิดความเซอร์ไพรส์ได้แบบถูกที่ถูกเวลาจนทำให้เราได้เห็นฉากที่คาดไม่ถึงว่าจะมีให้เห็น นับว่าเป็นการปิดจบซีซั่นนี้ไปแบบอ้าปากค้าง แถมอารมณ์ก็ค้างแบบแทบจะพุ่งไปเขย่าจอ! 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ DUTY AFTER SCHOOL จะเป็นที่พูดถึงและได้ไปต่อถึงจนกำลังจะมีซีซั่น 2 ตามมาเร็ว ๆ นี้ในช่องทาง VIU THAILAND เจ้าเก่าเจ้าเดิม เอาเป็นว่าใครชอบซีรีส์แนวแอ็กชันไซไฟแบบโหดสะใจ ก็แนะนำเลยว่า DUTY AFTER SCHOOL ตอบโจทย์ไม่แพ้เรื่องไหน เป็นรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมพอเคี้ยวได้เพลิน ๆ  ดูสนุกแบบเต็มอิ่มแน่นอนค่ะ

ปล่อยภาพมาสปอยล์ Part 2 แบบกรุบกริบ เขาจะกลายเป็นซีรีส์แอ็กชันไซไฟเต็มตัวแล้วนะคะคุณขา
น่าดูมากกกกกกก