ลาจอไปแล้ว สำหรับละครแนวพีเรียดย้อนยุคนับพัน ๆ ปีอย่าง “เล่ห์บรรพกาล” ท่ามกลางความเสียดายของแฟนละคร เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นละครที่ย้อนยุคไปไกลเป็นพัน ๆ ปีแบบ“เล่ห์บรรพกาล” นับตั้งแต่ละคร “สาปพระเพ็ง” เมื่อปี พ.ศ. 2556 เราก็แทบจะไม่เห็นละครที่ย้อนยุคไปไกลเป็นพัน ๆ ปีแบบนี้อีกเลย เพราะส่วนมากละครแนวพีเรียดของไทยเราก็มักจะย้อนไปไกลแค่ 200-300 ปี หรืออย่างมากสุด ก็ย้อนไปถึงสมัยสุโขทัย ซึ่งก็แค่ราว ๆ 700 ปีเท่านั้นเอง เสน่ห์ของละครแนวนี้ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด ถ้าไม่นับพล็อตเรื่อง ฉาก และบทสนทนา ก็คงจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ต้องวิลิศมาหราแปลกตาหาดูยาก ดังนั้นเมื่อ“เล่ห์บรรพกาล”ลาจอไปแล้ว จึงทำให้คอละครที่ติดตามรับชม “เล่ห์บรรพกาล”มาตั้งแต่ต้นต่างใจหายไปตาม ๆ กัน เพราะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ถึงจะมีละครพีเรียดแนวนี้ออกมาให้ได้รับชมกันอีก เนื่องจากละครไทยส่วนมากสร้างมาจากนวนิยาย และนักเขียนไทยโดยมากก็หายากเต็มทีที่จะมีคนเขียนนิยายพีเรียดย้อนยุคไปไกล ๆ แบบนี้ ที่จะเห็นมีปรากฏผลงานเด่นชัด ก็น่าจะเป็นนักเขียนในนามปากกาเดียวกันกับผู้เขียนเรื่อง “เล่ห์บรรพกาล” นี่เอง “เล่ห์บรรพกาล” เป็นผลงานการเขียนของนักเขียนในนามปากกา “วรรณวรรธน์” เจ้าของผลงานนวนิยายเกือบ 15 เรื่อง ในระยะเวลา 15 ปี หลายเรื่องถูกนำเอาไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ อาทิ ขอเป็นเจ้าสาวสักครั้งให้ชื่นใจ ข้าบดินทร์ หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ฤกษ์สังหาร และล่าสุดก็คือ เล่ห์บรรพกาล ซึ่งเป็นผลงานนวนิยายเรื่องล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ หากใครเป็นนักอ่านที่ติดตามผลงานของ “วรรณวรรธน์” ย่อมทราบดีว่าอันที่จริงงานเขียนแนวย้อนยุคนับพัน ๆ ปีนี่เอง ที่ถือว่าเป็นแนวถนัดของนักเขียนนามนี้ เพราะนอกจากเรื่อง เล่ห์บรรพกาล แล้ว “วรรณวรรธน์” ก็ยังมีผลงานในแนวนี้อยู่อีกหลายเรื่องเลยทีเดียว ที่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีผู้จัดละครจากสถานีโทรทัศน์ช่องไหนกล้าซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเป็นละคร ดังจะขอยกตัวอย่างพอหอมปากหอมคอ ดังนี้ 1. ทรายนี้ยังมีรัก นิยายแนวประวัติศาสตร์บอกเล่าเรื่องราวอารยธรรมตะวันออกของโลกโบราณ ที่พาย้อนอดีตไปไกลจนถึงสมัยเมโสโปเตเมียและเปอร์เซีย ผ่านตำนานปรัมปราของนกฟีนิกซ์ สฟิงค์ และตำนานมหากาพย์กิลกาเมซ โดยเล่าเรื่องผ่านตัวละครเอกในยุคปัจจุบันถึง 4 ตัวละคร ที่สามารถชวนเราติดตามไปได้ตลอด โดยเฉพาะพระเอกกับนางเอก ที่ต้องติดตามรอคอยกันมานับพัน ๆ ปี ด้วยความเจ็บช้ำมาถึงสองภพสองชาติ กว่าจะมาสมหวังกันได้ ในขณะที่ตัวร้ายก็พยาบาทอาฆาตเสียเหลือเกิน อ่านจบแล้วก็ให้ย้อนกลับมาคิดถึงชีวิตของคนเรา ว่าทำไมเราถึงรู้สึกถูกชะตากับคนบางคนเหลือเกิน แต่กับบางคนแค่เห็นหน้าก็นึกไม่ถูกชะตาด้วยแล้ว ทั้ง ๆ ที่เขาก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรให้เราเลยเรื่องนี้จะถือว่าเป็นนวนิยายในจักรวาลของ "วรรณวรรธน์" ก็ย่อมได้ เพราะนางเอกในเรื่องนี้มีความสัมพันธ์เป็นพี่สาวของนางเอกในเรื่อง "อขิทโร" ซึ่งเป็นนวนิยายในลำดับต่อมาอีกด้วย เมื่ออ่านจบจึงต้องขอบอกว่าผู้เขียนทำการบ้านมาดีมาก แม้เรื่องราวจะพาเราย้อนยุคไปไกล แต่รับรองว่าเต็มเพียบอันแน่นไปด้วยข้อมูล นักอ่านที่ชอบนวนิยายแนวหนัก ๆ มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์แน่น ๆ จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง 2. อขิทโร นวนิยายแนวข้ามภพข้ามชาติย้อนอดีตไปในสมัยพุทธศตวรรษที่ 2 ที่หลอมรวมประวัติศาสตร์จากโลกฝั่งยุโรปตะวันออกผ่าน‘เส้นทางสายเครื่องเทศ’ Spicy Route มาสู่ฝั่งอันดามันและจุดหลบมรสุมคาบสมุทรแหลมทองสุวรรณภูมิของไทย เรื่องราวของนักบวชตบะเก่งกล้าจอมขมังเวทย์แห่งนครกาละบุรี เมืองท่าสำคัญในแถบสุวรรณภูมิ ที่โชคชะตาได้จับพลัดจับผลูให้เขาได้เดินทางไปยังชมพูทวีปและได้เผชิญหน้ากับกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ขณะที่กำลังยกกองทัพมาบุกอินเดียหลังจากที่ยึดครองเปอร์เซียได้เป็นผลสำเร็จ อ่านจบแล้วประทับใจมาก ชอบทั้งตัวละครที่เป็นพระเอก นางเอก และพระรอง ในเรื่องนี้พระเอกกับพระรองจะเป็นเพื่อนกัน เขาทั้งสองคนเป็นนักบวช นักบวชของเมืองนี้สามารถแต่งงานได้ และนักบวชที่ยังโสดก็สามารถที่มีอะไรกับผู้หญิงได้โดยชอบธรรมผ่านพิธีเบิกพรหมจรรย์ทุกคืนวันเพ็ญ ซึ่งที่น่าแปลกก็คือหนุ่ม ๆ ทั้งหลายในเมืองต่างก็ยินดีที่จะส่งว่าที่ภรรยาของเขามาประเคนให้เหล่านักบวชทำพิธีนี้ให้ด้วย เพราะถือว่าเป็นสิริมงคลแก่เขาและภรรยานั่นเองเรื่องนี้พระเอกมีภรรยาทั้งหมดถึง 10 คน ก่อนจะมาเจอนางเอกซึ่งต้องถือพรหมจรรย์ ความรักต้องห้ามจึงเป็นเรื่องที่น่าลุ้นเอามาก ๆ เลยทีเดียว ว่าทั้งสองคนจะสมหวังกันอย่างไร ส่วนบทเพื่อนพระเอกมีความน่าสนใจยิ่งกว่าพระเอกเสียอีก เพราะเขามีภรรยาแค่คนเดียว แถมภรรยาคนนั้นยังอายุสั้นเสียด้วย พอภรรยาเสียเขาก็ไม่แต่งงานใหม่จนกระทั่งตายไป พอมาเกิดใหม่เขากับภรรยาในภพเดิมนั้นก็ได้กลับมาคบหากันอีก แต่ภรรยาของเขากลับเป็นฝ่ายที่รักเขาข้างเดียวมาตลอด โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมอบหัวใจให้ผู้หญิงคนนี้อีกครั้งไม่ได้ กระทั่งเรื่องมาเฉลยในตอนท้ายว่าภรรยาของเขาที่เขาเคยบูชาในภพก่อนนั้น เธอเคยคบชู้กับผู้ชายอีกหลายคนก่อนที่เธอจะตาย โดยที่ไม่มีใครรู้ ผลแห่งความผิดนั้นก็เลยตามสนองมาถึงภพปัจจุบัน อ่านแล้วทั้งสะอึกทั้งเจ็บปวด และประทับใจ เรียกได้ว่าเรื่องนี้มีครบทั้งแฟนตาซี ผี พญานาค ศาสนา และการเมือง ไปจนถึงตำนานวันสิ้นโลก มีทั้งโรแมนติก ลึกลับ และบู๊ดุเดือด ครบรสกันเลยทีเดียว 3. จันทราอุษาคเนย์ นิยายเชิงประวัติศาสตร์ที่จะพาเราย้อนอดีตไปไกลถึงราวพุทธศตวรรษที่ 12 ว่าด้วยเรื่องราวของสาวน้อยในยุคปัจจุบันที่เผอิญต้องหลงยุคไปพบกับพระเจ้าภววรมัน แห่งอาณาจักรเจนละ และ เจ้าชายจิตรเสน หรือ พระเจ้ามเหนทรวรมัน เจ้าชายผู้เกรียงไกรแห่งเอเชียอาคเนย์ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำมูล ในยุคสมัยที่กรุงเทพมหานครยังคงจมอยู่ใต้ท้องทะเล ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้ “วรรณวรรธน์” ได้ใช้หลักศิลาจารึกของพระเจ้าศรีมเหนทรวรมาเป็นข้อมูลหลักในการเขียน โดยใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลยาวนานถึง 23 ปีเลยทีเดียวเรื่องนี้มีความโรแมนติกมาก พระเอกเป็นทั้งนักรบที่เกรียงไกรและนักรักที่ช่ำชอง เป็นคนที่นึกแล้วทั้งทึ่งทั้งสงสาร คือทึ่งในความสามารถของเขา ในขณะเดียวกันก็สงสารที่ความเก่งเกินไปของเขาทำให้ต้องถูกระแวงจากทั้งพ่อ พี่ชาย และคนในราชสำนัก ซึ่งเชื่อตามคำทำนายว่าเขาจะยิ่งใหญ่เกินกว่าใคร ทุกคนจึงเชื่อว่าเขาจะต้องชิงราชบัลลังก์จากพี่ชายของตนซึ่งเป็นองค์รัชทายาท ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพิสูจน์ตนเองด้วยการเดินทางออกจากบ้านเมืองไปเสียเพื่อความสบายใจของทุกคน โชคดีที่ได้เจอนางเอกจากยุคปัจจุบันที่หลงเข้าไป นางเอกจึงใช้ความรู้ที่นำมาจากปัจจุบัน ช่วยให้พระเอกได้สร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ตามคำทำนาย อ่านแล้วหลงรักนางเอกคนนี้มาก เพราะผู้เขียนไม่ได้เขียนให้นางเอกเก่งกาจจนถึงขั้นพิเศษกว่าใคร ๆ อย่างในนวนิยายย้อนยุคเรื่องอื่น ๆ แต่กลับสร้างให้นางเอกเป็นคนเรียบ ๆ ธรรมดา ๆ ทว่าสุดท้ายกลับครองใจพระเอกได้อย่างอยู่หมัด นักอ่านที่ชอบแนวประวัติศาสตร์บวกกับแนวรักกุ๊กกิ๊กพาฝัน จึงไม่ควรพลาดกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่มีความน่าสนใจ และพาเราย้อนยุคไปไกลเกินพันปีทั้งนั้น จึงเชื่อแน่ว่าต้องถูกใจแฟนละครแนวย้อนยุคทั้งหลายอย่างแน่นอน ทว่าเราจะมีโอกาสได้เห็นภาพเหล่านั้นเคลื่อนไหวบนจอแก้วหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดละครของแต่ละสถานีแล้วล่ะ ว่าช่องไหนจะใจปล้ำกล้าคืนกำไรให้แก่คนดูก่อนกัน เพราะก็ต้องยอมรับว่าละครแนวนี้ต้องใช้งบประมาณในการทุ่มทุ่นสร้างอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม สำหรับคอนิยายที่ใจร้อน ไม่อยากฝากความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไว้กับผู้จัดละครแล้วล่ะก็ ปัจจุบันนิยายทั้ง 3 เรื่องของ วรรณวรรธน์ ได้รับการจัดตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ใครที่ชื่นชอบเรื่องราวแนวพีเรียด ก็สามารถจัดแจงซื้อหามาอ่านไว้เกิดเลยก็ได้ ถือว่าเป็นการเสพความบันเทิงอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงพักอยู่บ้านว่าง ๆ... ระหว่างสถานการณ์ไวรัสโควิด ขอขอบคุณภาพจาก PIC1 : becteroradio / Pic 2 : becteroradio / Pic 3-5 ภาพโดยผู้เขียน