ในยุคที่ทุกสิ่งทุดอย่างมันเดินทางเร็วแสนเร็ว เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนยังนึกถึงอยู่ตลอดเวลาคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเดินทาง ออกจากกรอบเดิม ๆ ของชีวิต หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นการออกไปเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์ของชีวิต ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร เรามักจะมองคนอื่นจนลืมมองย้อนดูตัวเอง สิ่งที่จะทำให้หายจากความเหนื่อยล่าได้ดีสำหรับผู้เขียนคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ การหยิบภาพยนตร์ที่เรารักขึ้นมาดูสักเรื่อง วันนี้ผู้เขียนจะพาเราเหล่าคนดูไปทำความเข้าใจ ร่วมถอดสัญญะหาความหมายไปกับภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า The Secret Life of Walter Mitty (2013) - ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ ซึ่งผู้เขียนได้เคยแนะนำไปแล้วเมื่อนานมาแล้วเช่นกันในคอลัมน์ "แนะนำหนัง" สร้างแรงบันดาลใจไปกับ The Secret Life of Walter Mitty ชีวิตอัศจรรย์ ความฝัน ความจริง The Secret Life of Walter Mitty (2013) นำแสดงโดย Ben Stiller รับบทเป็น Walter Mitty , Kristen Wiig รับบทเป็น Cheryl Melhoff , Sean Penn รับบทเป็น Sean O’Connell , Jon Daly รับบทเป็น Tim Naughton(as Jonathan C. Daly) , Kathryn Hahn รับบทเป็น Odessa Mitty , Terence Bernie Hines รับบทเป็น Gary Mannheim , Adam Scott รับบทเป็น Ted Hendricks , Paul Fitzgerald รับบทเป็น Don Proctor , Grace Rex รับบทเป็น Cheryl's Co-Worker , Alex Anfanger รับบทเป็น Ted's Toner Box Associate , Amanda Naughton รับบทเป็น Female Editor , Adrian Martinez รับบทเป็น Hernando , Nolan Carley รับบทเป็น Western Union Employee , Joey Slotnick รับบทเป็น Retirement Home Administrator , Shirley MacLaine รับบทเป็น Edna Mitty , Gary Wilmes รับบทเป็น Walter's Dad , Marcus Antturi รับบทเป็น Rich Melhoff , Amy Stiller รับบทเป็น Rich's Friend's Mom , Rosamund Gundmundsdottir รับบทเป็น Ticket Agent กำกับโดย Ben Stiller เขียนบทโดย Steve Conrad , James Thurber ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบต่างๆจากสื่อในหลายๆแพลตฟอร์ม หลายคนตระหนักได้ หลายคนก็ไม่อาจตระหนักได้ ว่าโลกของเราใบนี้มันช่างเต็มได้ด้วยเรื่องราวของการแข่งขันกันอย่างบ้าระห่ำ หรือแม้แต่ในเรื่องราวของ The Secret Life of Walter Mitty ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ (2013) ที่จะมาเราเหล่าคนดูออกจากกรอบที่ถูกขีดและค้นหาแง่มุมสร้างคุณค่าให้ตัวเองในระหว่างทางที่กำลังออกตามหาบางอย่างที่ขาดหายไปของชีวิตเล่าย่อๆเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งที่ชื่อ วอลเตอร์ มิตตี้ หัวหน้าแผนกฟิล์มเนกาทีฟ ในวันที่ทุกสื่อเคลื่อนที่ด้วยสื่อออนไลน์ เช่นเดียวกันกับนิตยสารไลฟ์ฉบับสุดท้าย ที่จะวางจำหน่ายเป็นเล่มสุดท้ายก่อนเปลี่ยนผ่านมาเป็นสื่อออนไลน์ทั้งหมด เช้าวันหนึ่ง วอลเตอร์ มิตตี้ ที่กำลังเล่นเว็บไซต์หาคู่อยู่นั้นเข้าก็ได้ดูโปรไฟล์ของคนที่เขาแอบชอบมานานอย่าง เชอริล เมลฮอฟฟ์ พนังงานในบริษัทเดียวกันกับเขา แต่แล้วเขาก็กดส่งยิ้มให้เธอไม่สำเร็จเพราะเขาไม่ได้กรอกประวัติส่วนตัวของเขาลงไปเลยแม้แต่ข้อเดียว นั้นคงเป็นปัญหาไม่ใหญ่มากเท่าไหร่เมื่อเขาเข้ามาที่ออฟฟิศแล้วพบว่า เขาต้องการเป็นพนักงานกลุ่มเสี่ยงที่ต้องถูกเลิกจ้าง ความวายป่วงยังไม่หมดอยู่แค่นั้นเพราะว่าเขาในฐานะเจ้าหน้าที่ฟิล์มเนกาทีฟ กับต้องมาพบว่าฟิล์มหมายเลขที่ 25 ที่จะลงหน้าปกนิตยสารในฉบับสุดท้ายนั้นได้หายไป การเริ่มต้นเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของชายที่ชื่อ วอลเตอร์ มิตตี้ จึงได้เริ่มขึ้น“ร่วมถอดสัญญะ วิเคราะห์ ไปด้วยกัน กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน”1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / ต้องยอมรับเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำได้สวยงามมากๆ ฉากแต่ละฉากที่ถ่ายทอดออกมานั้นเต็มไปด้วยความหมายและสัญลักษณ์เต็มไปหมด มันทำให้เราเหล่าคนดูได้ดื่มด่ำกับห้วงเวลาปัจจุบัน “ ความงามที่แท้จริง จะไม่เรียกร้องความสนใจ ” การที่ภาพยนตร์เรื่องใช้ภาษาสัญลักษณ์ผู้เขียนมองว่ามันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆทั้งในงามของความหมายหรือแม้แต่การเล่าเรื่อง อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทีฉากที่ทำให้เราเหล่าคนดูได้ดื่มด่ำไปกับ ฉากสนุกๆหรือแม้แต่ใส่ความตื่นเต้นเข้ามาบ้าง แต่ละฉากก็ไม่วายใช่ภาษาสัญลักษณ์ “ อย่าจมปักอยู่กับโลกเล็กๆของคุณ เพราะจุดมุ่งหมายของชีวิตคือการออกไปท่องโลกและสร้างประสบการณ์ให้กับชีวิต ” การเสื่อความหมายผ่านมุมมองในโลกใบใหญ่ เราเหล่าคนดูไม่จำเป็นที่จะทำให้ได้เหมือนกับ วอลเตอร์ มิตตี้ แต่ราก็เลือกที่จะก้าวเดินทีละก้าวในแบบของเราก็เป็นได้ ผู้เขียนชอบหลายๆฉากในเรื่องนี้ แต่ละฉากล้วนแล้วแต่มี Dialog ที่น่าสนใจอย่าง “ ทำให้ทุกวินาทีมีค่า เริ่มต้นเดี่ยวนี้เลย ” , “ ชีวิตเป็นเรื่องของความกล้าหาญ และการไปในที่ที่เราไม่รู้จัก ” , " สภาพแวดล้อมกำลังทดสอบร่างกาย และจิตวิญญาณ " คำโดนๆหรือความหมายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาพร้อมกับฉากที่สวยงามและน่าประทับใน ผู้เขียนชอบ Mood & Tone มันดูละมุมตาและน่าค้นหาไปพร้อมๆกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพบยนตร์ที่ผู้เขียนหยิบยกให้เป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งแต่ก็มีภาพยนตร์ไม่มากนักที่จะได้รับการยอมรับจากผู้เขียนเรื่องของ Mood & Tone ที่สวยงามเหมือนเรื่องนี้ ที่หยิบมาดูทีไรก็ยังตื่นตาตื่นใจอยู่กับมันอยู่ดี “Beautiful things never ask for attention.” ดั่งคำแปลที่ผู้เขียนแปลไว้ต้นประโยคข้อหัวข้อนี้ ฉากต่างๆของภาพยนตร์ไม่ได้สื่อให้เห็นถึงความสวยงามหรือภาษาสัญลักษณ์อย่างเดียว แต่ในเรื่องของความหมายก็ไม่ได้น้อยหน้าอย่างฉากหนึ่งที่ตัวเอกต้องเลือก “The blue one and The red one” ถึงแม้จะเป็นการเล่าล้อฉากหนึ่งที่อ้างอิงจากภาพยนตร์ Sci-Fi ในตำนานอย่างเรื่อง The Matrix เขาต้องเลือกระหว่างรถสองคัน คือรถสีฟ้าและสีแดง เช่นเดียวกับในเรื่อง The Matrix ที่ต้องเลือกระหว่างยาเม็ดสีฟ้าและยาเม็ดสีแดง และผู้เขียนยังนึกถึงประโยคเด็ดจาก Dialog ที่ว่า “You take the blue pill. the story ends, you wake up in your bed and believe whatever you want to believe. You take the red pill. you stay in Wonderland and, I show you how deep the rabbit hole goes.” ในฉากนี้ตัวของ วอลเตอร์ มิตตี้ เขาเลือกสีแดง ทำให้เขาต้องเจอกับสิ่งใหม่ หากผู้อ่านได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะเห็นได้ทันทีเลยว่าตัวเอกพาเราไปเจออะไรบ้าง สถานที่ที่แสนพิเศษระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นโดดขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ลงส่งทะเลคลั่ง ต่อสู้และต่อยกับฉลามตัวเป็น ๆ หนีตายจากภูเขาไฟชื่อแสนประหลาด เดินทางคนเดียวขึ้นเทือกเขาหิมาลัย นอกจากการท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะเขาคิดว่ามันคือหน้าที่ นั้นจึงเป็นเหตุให้ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้สวยงามอย่างไม่เคอะเขิน 2 คัท (Cut) คือ “มุม”ว่าด้วยเรื่องของบท / ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากหนังสือ The Secret Life of Walter Mitty แต่งโดย James Thurber ภาพยนตร์ก็ใช้ชื่อเดียวกัน แต่ความแตกต่างกับไกลกันคนละขั้ว ต้องยอดรับเลยว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอะไรที่ดีสุดๆ ดีในรูปแบบที่สามารถเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งและให้กำลังใจได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น “จุดหมายมันอาจไม่สำคัญเท่าระหว่างทาง” การสื่อสารคำๆนี้ผ่านบทภาพยนตร์หากใครที่ดูเรื่องนี้จะรู้ได้อย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าจุดหมายของตัวละครมันช่างห่างไกลกับความเป็นจริง แต่การสื่อสารระหว่างทางมันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ผู้เขียนชอบ Dialog ที่บอกว่า “ต้องการค้นหาจิตวิญญาณสูงสุดของมนุษย์” เรามักจะใช้ชีวิตให้ตื่นเต้นผ่านมุมมองของคนอื่น แต่คำถามที่น่าสนใจคือทำไมเราไม่พาตัวเองไปอยู่ที่จุดๆนั้นเสียเลย มองในมุมของผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านน่าจะเป็นเช่นเดียวกันคือเรายังไม่มีความกล้ามากพอที่จะพาตัวเองออกจากจุดที่เคยเดิน ความเพ้อฝันหรือในเรื่องใช้คำว่าฝันกลางวัน ผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องก็ว่าได้ มันทำให้เรารู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าตัวเอกอย่าง วอลเตอร์ มิตตี้ นั้นเป็นคนที่ชอบความท้าทายแต่เขากลับต้องมานั่งทำงานงกๆ ในออฟฟิศที่แสนจะธรรมดา ผู้เขียนมองว่านั่นจึงเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เขามาเรื่องงานนี้เพราะเขาจะได้มองเรื่องราวผ่านภาพในแผ่นฟิล์มที่นักถ่ายภาพส่งมาให้เขาเหมือนกับว่าเขาได้ผจญภัยไปพร้อมกับมัน อีกอย่างที่ผู้เขียนมองว่าบทภาพยนตร์มันทรงพลังก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการกล้าคงมือทำของตัวละคร กล้าที่จะหยิบกระเป๋า กล้าที่จะออกจาก Comfort Zone เดินทางดาหน้าสู่อันตราย กล้าที่จะเปิดใจพูดกับคนที่ไม่กล้าพูด กล้าที่จะรักใครก็ตามที่ทำให้รู้สึกดี บทภาพยนตร์ในได้สื่อออกมาแล้วว่าอย่าติดอยู่กับความฝันถ้าเรานึกได้ก็จงรีบทำ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรือแม้แต่ช้าเกินไป ต้องยกความดีความงามให้กับ Steve Conrad , James Thurber ที่มอบบทภาพยนตร์ดีๆเรื่องนี้ให้เราเหล่าคนดูได้ดู ไม่ว่าสิ่งที่เราได้ลงมือทำไปแล้วจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม ผู้เขียนมองว่ามันดีกว่าที่เรานั่งฝันกลางวันและไม่ลงมือทำไรเลย ดั่งคำที่ว่า Stop dreaming, Start living. 3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / เมื่อพูดถึงตัวนักแสดงอย่าง Ben Stiller ที่ใครหลายๆคนรู้จักเขาดีจากภาพยนตร์ดังอย่าง Night at the Museum ที่มีมามากมายหลายภาค แต่สำหรับตัวละครตัวนี้อย่าง วอลเตอร์ มิตตี้ บอกได้คำเดียวเลยว่าเป็นตัวละครที่มีความน่าสนใจมากๆอีกตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ วอลเตอร์ มิตตี้ คือตัวละครธรรมดาที่สื่อให้เห็นถึงความธรรมดาของชีวิตมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง แต่ในเรื่องราวจะพบกับความประหลาดใจอยู่เรื่อยๆว่า จริงๆแล้ว วอลเตอร์ มิตตี้ นั้นไม่ใช้ผู้ชายเรียบง่ายเหมือนที่เราเข้าใจในตอนแรก ตัวละครที่เต็มไปด้วยความกลัว วอลเตอร์ มิตตี้ เขากลัวว่าสิ่งที่เขาฝันนั้นมันดูไร้ค่าและไม่สำคัญเขาจึงหลีกหนีความจริงอยู่บ่อยครั้งด้วยอาการที่ว่า “ฝันกลางวัน” นั้นจึงเป็นอีกสาเหตุในตัวละครนี้หลายเป็นจุดสนใจของผู้เขียนมากยิ่งขึ้น “ไม่พบชีวิตใหม่หากไม่ออกจากที่เดิมๆ” ภาพแทนของชีวิตใครหลายๆคนที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความจำเจวนซ้ำฉายภาพเก่า จนเขาไม่กล้าออกจาก Comfort Zone หรือสิ่งเดิมๆ ที่ทำอยู่ จนกระทั่งการตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ที่จะเอามาใช้ในนิตยสารฉบับสุดท้าย ตัวละครยังนำเราไปสู่ “ความกล้าที่จะพาเราก้าวไปสู่ความสุขที่แท้จริง” บ่อยครั้งที่เราเหล่าคนดูรู้สึกอึดอัดแท้ตัวละครอย่าง วอลเตอร์ มิตตี้ ที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าเขาอยากทำอะไร ไม่กล้าแม้แต่จะเดินทางท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลง่ายๆที่พันธนาการเขาไว้คงจะหนีไม่พ้น เรื่องที่ทุกคนต้องเจอคือคำว่า “ครอบครัว” เราจะเห็นว่า วอลเตอร์ มิตตี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้นเขาเลยจมอยู่กับความฝันและจินตนาการแต่สุดท้ายแล้วเขาก็กล้าที่จะหยิบกระเป๋าและออกก้าวเดินอีกครั้ง “เปิดหูเปิดตาและใส่ใจลายละเอียดรอบๆข้าง” ถึงแม้ว่าความเป็นจริงเราเหล่าคนดูไม่สามารถทำตามตัวละครของเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เราก็ได้อะไรมากมายจากการกระทำของตัวละครนี้ไม่ว่าจะเป็น ความสวยงามในระหว่างการเดินทาง เรียนรู้ที่จะสนุกกับเรื่องง่ายๆใช้ชีวิตให้สมกับที่เกิดมา ยอมรับเลยว่าตัวละครอย่าง วอลเตอร์ มิตตี้ พาเราเข้าไปเจาะลึกถึงแก่นสารของชีวิตได้อย่างถ่องแท้ สำหรับผู้เขียนแล้วต้องมองตัวนักแสดงอย่าง Ben Stiller ใหม่ทั้งหมดเพราะเขาพาตัวเองออกจาก Comfort Zone ฉีกคาแรคเตอร์ ตัวเอกจนกลายเป็นคนใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / ในหนังสือ MINDSET: CHANGING THE WAY YOU THINK TO FULFIL YOUR POTENTIAL ของ Carol S.Dweck (แครอล ดเว็ค) ได้บอกไว้ว่าเราทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่เกิดมาพร้อมสัญชาตญาณ ที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งอย่างตั้งแต่ยังเป็นทารกนั้นคือทักษะและเราเกิดมาไม่ได้เรียนรู้ทักษะง่ายๆ แต่เป็นทักษะที่ยิ่งใหญ่และจะทำให้เราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนั้นก็คือการเดินและการพูด ทารกทุกคนไม่กลัวการล้มเหลวไม่กลัวการขายหน้าหรือแม้แต่กลัวการอับอาย แต่พวกเขากล้าที่จะลุกก้าวต่อไป และหัดพูดต่อไปจนกว่าพวกเขาจะทำมันได้ “ชีวิตมีไว้ใช้ ไม่ได้เพื่อฝัน” ความหมายของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ผู้เขียนจะจับจุดหลักของเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นคำว่า “ตามหาความงดงามของชีวิตที่หายไป” ความกล้า การค้นพบตัวเอง ค้นพบจิตวิญญาณ ค้นพบความรัก และความสวยงามของชีวิต จากตอนแรกที่ภาพยนตร์เริ่มขึ้น เราเหล่าคนดูจะเห็นได้อย่างถนันตาเลยว่า วอลเตอร์ มิตตี้ นั้นเป็นคนที่ คนขี้กลัว ใช้ชีวิตซ้ำซาก ธรรมดา จืดชืด ผู้เขียนนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ว่า ตัวตนของพระเอกของเรื่องนี้น่าจะเป็นตัวแทนของผู้คนที่อยู่ในสังคมที่มีความแปลกแต่ก็จริงอย่างเห็นได้ชัด ที่ต้องบอกว่ามันมีความขัดแย้งภายในตัวเพราะด้านหนึ่งเราทุกคนก็อยากจะเป็นอิสระ แต่อีกด้านก็ไม่กล้าที่จะเผชิญสิ่งใหม่ๆ MAKING OF A BRAVE MAN. ในฉากหนึ่งตอนที่ตัว วอลเตอร์ มิตตี้ ได้หยิบกระเป๋าออกเดินทางเราจะเจอกับคำนี้ผู้เขียนมองว่าเป็นคำที่ชวนให้เราเหล่าคนดูปลุกความมั่นใจในตัวเอกได้ไม่น้อยเช่นกัน ความเป็นภาพยนตร์ที่สื่อสารด้วยภาษาสัญลักษณ์สิ่งหนึ่งที่เราเหล่าคนดูจับต้องได้ง่ายในภาพยนตร์เรื่องนี้อีกอย่างคือเสื่อดาวหิมะ ความหายากของมันจนได้ฉายาว่าแมวผีสัญลักษณ์ของความสวยงามในชีวิตที่ไม่เคยได้เรียกร้องความสนใจ เป็นภาพที่แทนความหมายได้ดีกับชีวิตของคนทำงาน แทนภาพของ วอลเตอร์ มิตตี้ ที่ไม่เคยเรียกร้องความสนใจแม้เขาจะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหนก็ตามแม้ไม่มีใครสังเกตเห็น นั้นจึงบอกได้ว่าการที่ วอลเตอร์ มิตตี้ ปรับ Mindset ที่ตัวเองเคยฝันถึงไม่ทำไม่ได้โดยที่ยังไม่ลงมือ ไปไม่ถึงทั้งที่ตัวเองยังนั่งอยู่กับที่ เพื่อแค่กล้าที่จะออกจาก Comfort Zone ก็ทำให้ชายที่จืดชืดกับชีวิตกลายไปคนที่กล้าที่จะเสียงกับทุกปัญหา กล้าที่จะฝันและเข้าหาคนที่ไม่กล้าเข้าถึง กล้าที่จะพูดตามที่ใจอยากจะพูด ผู้เขียนมองว่าความหมายของภาพยนตร์เรื่องนี้มีดีไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นๆแน่นอน 5 “คัท !!!!”ตอนแรกที่ผู้เขียนได้เห็นชื่อเรื่องคิดในใจก่อนเลยว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างใหม่จากภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกันอย่าง The Secret Life of Walter Mitty ที่ออกฉายในปี 1947 นำแสดงโดย Danny Kaye รับบทเป็น Walter Mitty , Virginia Mayo รับบทเป็น Rosalind van Hoorn กำกับโดย Norman Z. McLeod เขียนบทโดย Ken Englund , Everett Freeman , James Thurber ในหลายๆครั้งผู้เขียนสลับคราบของ Ben Stiller ในฐานะของนักแสดง comedy มากความสามารถออกไม่เคยหมดแต่ก็รู้อยู่แล้วว่านักแสดงคนนี้มีความสามารถในการกำกับภาพยนตร์ ซึ่งเรื่องที่ Ben Stiller กำกับเองและแสดงนำเองก็อย่างเช่นเรื่อง Zoolander ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับสายลับแห่งวงการแฟชั่น หรือแม้แต่ Tropic Thunder ภาพยนตร์ Action Comedy ที่เต็มไปด้วยดาราเจ้าบทบาทอย่าง Robert Downey Jr. และ Jack Black ที่รับประกันความสนุกได้อย่างไม่เคอะเขิน จากผลงานที่ผ่านๆมาในฐานะผู้กำกับซึ่งส่วนมากจะออกไปทาง Comedy ทำให้หลงคิดไปได้เลยว่า ภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty น่าจะเป็นภาพยนตร์แนวเดิมๆของเขาแน่ๆ แต่แล้วผู้เขียนก็ผิดถนันเมื่อตัดสินใจเข้าไปดูที่โรงภาพยนตร์ ที่ออกฉายในปี 2013 ค่อนข้างแปลกใจเพราะสลับคราบความ Comedy ที่ให้เราเหล่าคนดูเห็นในภาพยนตร์หลายๆเรื่องของเขาไปจนหมด ในตัวอย่างเราจะเห็นความ Fantasy ในโลกจินตนาการของตัวละครบวกความเป็นหนัง Adventure อย่างชัดเจนอย่างไรก็ตาม Trailer แรกที่ปล่อยออกมาก็ทำให้ผู้เขียนยังไม่กล้าตัดสินใจดูจนได้เข้าไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง อีกทั้งยังอยากรู้ว่าในฐานะผู้กำกับอย่าง Ben Stiller นั้นจะสามารถทำภาพยนตร์ เรื่องนี้ได้ออกมาน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนจนภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผู้เขียนยกให้เป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งอีกเรื่องที่ต้องยิบมาดูทุกครั้งเมื่อตัวเองมีโอกาสหรือแม้แต้ยามที่ตัวเองหมดไฟไปกับทุกสิ่ง ความสวยงามของชีวิตเราเหล่าผู้อ่านที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ไม่มากก็น้อยที่จะบอกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทรงคุณค่าเติมพลังบวกและจะพาเราเหล่าคนดูออกไปใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถทำได้เหมือนกับ วอลเตอร์ มิตตี้ แต่ก็ใช้ว่าเราจะนำเรื่องราวต่างๆมาแก้ Mindset ของเราไม่ได้อย่างน้อยๆผู้เขียนก็หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone ได้อย่างสวยงาม สรุปได้ง่ายๆว่าความงามของฉากภาพยนตร์ที่ใช้ธีมหลังได้เปลืองมากๆอีกเรื่อง ความเปลืองที่ว่าผู้เขียนหมายถึงความสวยงามของธีมหลังที่ซ้อนความหมายในฉากแต่ละฉาก ใส่ภาษาสัญลักษณ์เข้าไปได้อย่างแนบเนียนแต่ก็ทรงพลังไม่แพ้กัน มันเลยส่งให้ธีมหลักออกมามีคุณค่าแก่คนดูได้อย่างไม่เคอะเขิน บทภาพยนตร์ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือ แต่เนื้อหากลับไม่มีความเหมือนหนังสือเลยแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตามผู้เขียนก็ยังมองว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นอาหารที่ธรรมดา พูดให้เห็นภาพคือร้านตามสั่งที่มีทั่วไป แต่จะให้ถูกปากทุกร้านก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ The Secret Life of Walter Mitty 2013 นี้เป็นอะไรที่ถูกปากผู้เขียนอย่างไม่น่าเชื่อ ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร ว่ากันง่ายๆกับทีมนักแสดงเองก็เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ อย่าง เบน สติลเลอร์ ที่ส่งให้ตัวละครอย่าง วอลเตอร์ มิตตี้ ก้าวเข้ามาสู่อ้อมใจได้อย่างสวยงาม และที่สำคัญอีกอย่างคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของความหมาย ที่สอดแทรกเข้ามาในทุกๆนาทีของภาพยนตร์ใส่อารมณ์ขันได้อย่างน่าสนใจ ไม่ประเดประดังแต่เต็มไปด้วยภาษาสัญลักษณ์ที่สวยงามนำไปคิดต่อได้ง่าย การออกตามหาแผ่นฟิล์มที่ 25 ที่หายไปของ ฌอน โอ'คอนเนลล์ ที่บอกว่าเป็นภาพที่เป็นแก่นสารของชีวิต ทำให้การเดินทางนั้นสวยงาม ผู้เขียนมองว่า วอลเตอร์ มิตตี้ ไม่ได้กล้าเพราะไปทำตามเป้าหมาย แต่เขากลายเป็นคนใหม่ได้เพราะตัวเขานั้นได้เจอเรื่องราวต่างๆระหว่างทางมากกว่า ภาพยนตร์อย่าง The Secret Life of Walter Mitty 2013 - ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ ผู้เขียนมองว่าเป็นคำถามให้เราเหล่าคนดูได้เกิดความสงสัยและนำไปสู่ข้อโต้แย้งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสุขเพราะที่มาและวิถีการของความสุขของแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน แต่คนที่มีความสุขกับชีวิตมักจะมีบางอย่างที่เหมือนกันนั้นก็คือการมีทัศนคติที่ดีและมีเป้าหมาย ในภาพยนตร์การเดินทางของ วอลเตอร์ มิตตี้ มันเป็นการเดินทางที่เขาเคยใฝ่ฝัน แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดในส่วนท้ายของภาพยนตร์ก็เฉลยว่า การผจญภัยไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ วอลเตอร์ มิตตี้ มีความสุขแต่การผจญภัยเหล่านั้นมันเป็นเครื่องมือที่ทำให้ วอลเตอร์ มิตตี้ คนพบความมั่นใจในตัวเอง และแล้วในท้ายที่สุด วอลเตอร์ มิตตี้ ก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นว่าเขาต้องการเป็นใครแล้วใช้ชีวิตอย่างไร บทเรียนเล็กๆอีกอย่างคือการเป็นพนักงานที่ผู้เขียนจับใจความได้คือ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรในองค์กร ตำแหน่งน้อยใหญ่แค่ไหน เราก็เป็นคนที่พิเศษเสมอเพราะฟันเฟืองตัวเล็กๆในองค์กรก็ทำให้ทุกอย่างมันหมุนไปได้อย่างสม่ำเสมอ แต่หากฟันเฟืองตัวนั้นขาดหายไปก็สามารถพังทั้งระบบได้เช่นกัน ไม่ว่าเราจะเป็นใครในโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีค่าที่จะใช้ชีวิตบนโลกกว้างและมีความสุขอย่างเท่าเทียม สุดท้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แค่บอกกับเราเหล่าคนดูด้วยเรื่องง่ายอย่างคำว่า “หยุดฝัน แล้วเริ่มลงมือทำ” ภาพยนตร์อย่าง The Secret Life of Walter Mitty 2013 - ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ จึงเป็นสื่อที่ทำให้เราหลุดพ้นจากโลกใบเก่า และกฎระเบียบจากคุณค่าแบบเก่าๆ ที่มักจะเกิดจากความกดดันความกลัว ภาพยนตร์มันสอนให้เราเหล่าคนดูจงใช้ความกล้าจากแรงขับภายในใจ แล้วพาตัวเองก้าวเท้าสู่โลกกว้างใบใหม่ที่เราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ความยอกเยี่ยมทั้งหมดนั้นร่วมเพลงประกอบแล้วยิ่งยอดเยี่ยมเขาไปใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Step Out , Dirty paws , Stay Alive , Far Away , Don’t let it pass , Space Oddity และอื่นๆอีกมากมาย และนี้คือความยอดเยี่ยมที่ภาพยนตร์อย่าง The Secret Life of Walter Mitty 2013 - ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ มอบให้เราเหล่าคนดู ชอบประโยคนี้ (To see the world, things dangerous to come to, to see behind walls, to draw closer, to find each other and to feel. That is the purpose of life.)ท้ามองโลก ดาหน้าสู่อันตราย ส่องหลังกำแพง ใกล้ชิดให้มากขึ้น ค้นหากันและกัน และเพื่อรู้สึก ซึ่งนั่นคือเป้าหมายของชีวิต.(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น) #จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก The Secret Life of Walter Mitty / ปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง The Secret Life of Walter Mitty : ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้ (2013) เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรส