หากคอละครย้อนไปหลายปีก่อน คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ นักแสดงแนวสีสัน "เอิร์ธ บารมีทัศน์” ผู้ซึ่งผ่านบทบาทนักแสดงละครทีวีมาหลายเรื่อง ในบทบาทสีสัน ตุ๊ดแต๋วแนวเฮฮา ที่เด่น ๆ กับละครช่อง 7 สี สองเสน่หา เวอร์ชั่น อั้ม พัชราภา บทฝาแฝด สองเรานิรันดร ทางช่อง 3 และอีกหลายเรื่องแซ่บ ๆ ตามสไตล์สีสันแนวถนัดฉบับของ เอิร์ธ ก่อนหน้านี้ผลงานของเขากับโฆษณา โยเกิร์ตดัชชี่ รสบลูเบอร์รี่ ที่มีประโยคเด่นในลิฟท์ "ไม่มีกล้วย มีอ้อย นะจ๊ะหล่อน" สร้างความโดดเด่นกับก้าวแรก ทำให้ เอิร์ธ มีผลงานตามมาเรื่อย ๆ จากที่เคยถูกเรียกจิกหัวแบบสนุก ๆ ในวงเพื่อนฝูงว่า "อีตัวประกอบ" จนก้าวขยับขึ้นมาเป็นนักแสดงมีบทเด่นและเป็นสีสันของละครเรื่องนั้น ๆ จนมาถึงมรสุมที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่เจ้าตัวกำลังมีงานและเงินแบบอุ่นใจ ว่ารอดจากความขัดสนแล้วการเจ็บปวดของมรสุมที่ว่านี้มาในรูปแบบ “โรคหลอดเลือดในสมองตีบ” เป็นสาเหตุในการทำงานและรับงานเพื่อดำรงชีพ ต้องหยุดไปเนื่องจาก จิตตกคิดมากและห่างการติดต่อจากผู้คนในแวดวงบันเทิง งานและเงินจึงหายวับและไร้ช่องทางที่มาของรายได้ เมื่อไม่มีเงินและงาน ชีวิตก็ตกอยู่ในความลำบาก ซึ่งจุดเริ่มต้นของการเป็น โรคหลอดเลือดในสมองตีบ เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงมาก่อน..."เริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นจังหวะดี นักแสดงแนวสีสันคนนี้ มีทั้งงาน มีทั้งเงิน มีความมั่นคงในการกินอยู่ ไม่กังวลว่าชีวิตจะ อด ๆ อยาก ๆเหมือนก่อนที่จะเข้าวงการ เพราะเอิร์ธมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก เมื่อมีโอกาสมาเป็นนักแสดงตัวเล็ก ๆ ในวงการบันเทิง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว กระทั่งได้ในสิ่งที่ฝัน ได้ทำงานในวงการบันเทิง มีคนรู้จัก มีการต่อยอดทำมาหากินได้ในวันข้างหน้า แต่มาวันหนึ่ง มีความผิดปกติเข้ามาในวันที่ตัวเราก็ดำเนินชีวิตตามปกติ คืออยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดเหมือนมีเข็มแหลมทิ่ม ๆ ไปกลางสมอง สายตาพร่ามัว ทำให้จิตตก เกิดอะไรขึ้นกับตนเอง!!!???" "อาการนี้เป็น ๆ หาย ๆ ช่วงนั้นก็ทำงาน มีละครให้เล่นหลายเรื่อง พอหายก็ไปทำงาน ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรเยอะ ก็แค่คิดว่า เราอาจจะพักผ่อนน้อยไป เพราะเสร็จงานก็ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ คือใช้ชีวิตปกติจริง ๆ แต่พอเป็นบ่อยครั้งเข้าก็เริ่มเอะใจ ว่าหรือจะเป็นอะไรเยอะกว่านี้ไหม ก็ตัดสินใจไปหาหมอที่โรงพยาบาลประสาท ราชวิถี สแกนสมอง จนพบว่า หลอดเลือดในสมองตีบ และหลังจากรู้ ด้วยเวลาไม่นาน สิ่งที่ตามมาคือแขนขา อ่อนแรง ความจำ สมาธิไม่ดี"การป่วยด้วยโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้กับอาชีพนักแสดงสมทบ ที่สร้างสีสันในละครหลาย ๆ เรื่องทันที เป็นความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาจน เอิร์ธ ตั้งตัวไม่ทัน และจะเรียกว่าไม่มีเวลาตั้งตัวก็ว่าได้ เพราะการดำเนินชีวิตต้องเป็นไปตามสถานการณ์ แบบไม่มีทางเลี่ยงเลย..."โรคที่เกิดขึ้นกับตัวเรา มีผลกับการรับงานเป็นนักแสดงมาก ๆ หลาย ๆ งานต้องขอยกเลิกไป หลายงานต้องถูกเปลี่ยนตัวแสดง และในที่สุด ไม่มีงาน ไม่มีรายได้เลี้ยงตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่นานเลย ที่ชีวิตเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตธรรมดา แล้วกลายมาเป็นคนป่วย เราต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปโดยปริยาย เพราะทำงานได้ไม่เต็มร้อย สมองจำบทละครที่จะแสดงได้ไม่ดี เหมือนราดน้ำผ่านเม็ดทราย ไม่เก็บ ไม่จำอะไรเลยช่วงแรก ๆ หลังจากที่ผ่านการรักษามาระยะหนึ่งจนอาการดีขึ้น คิดว่าเราพร้อมที่จะกลับไปทำงานแล้วล่ะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่ายกายคือไปทำงานแสดงลำบาก เคยลองมาแล้ว ผิดคิว จนทีมงานเบื่อ เมื่อไม่มีงาน รายได้จากตรงนี้ก็หายไป นับวันงานก็ไม่มีทำ หมดโอกาสที่มาของรายได้ ถ้าจะไปสมัครงานประจำบริษัท คงยาก เพราะอายุเยอะแล้ว ไม่มีบริษัทไหนรับแน่นอน สุขภาพไม่แข็งแรงด้วย ยากมาก ๆ"แม้จะไม่มีงานแสดง แต่สิ่งที่มีอยู่ในชีวิตคือกัลยาณมิตร ท่ามกลางความมืดมนของชีวิต สิ่งที่ยังมีอยู่คือเพื่อน และญาติมิตร ที่ไม่หนีหายไปจากกัน"เอิร์ธโชคดีที่มีเพื่อน มีพี่ มีคนที่รู้จักเห็นใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ที่คอยให้ความช่วยเหลือให้งานทำ ทำให้มีงานที่มีรายได้พิเศษรายได้แบบไม่ประจำมาจาก แต่ด้วยรายได้ที่น้อย ทุกวันนี้อยู่แบบประหยัดมาก ๆ ไปอาศัยกินข้าวบ้านพี่ชายบ้าง โรงทานในวัดบ้าง เพื่อน ๆ เลี้ยงข้าวบ้าง ภาระที่มีตอนนี้ ค่าห้องเช่า ค่ารถเดินทางไปหาหมอ ค่าใช้จ่ายรายวัน อยู่แบบประหยัดสุด ๆ ไม่ได้กินทุกมื้อแบบเมื่อก่อน พยายามไม่ยืมใครเพราะไม่มีปัญญาไปคืนเขาแน่นอน ไม่อยากให้ใครว่าลับหลัง จะเครียดและเสียใจ ไม่อยากเกิดความรู้สึกแบบนั้น มีแค่ไหนใช้แค่นั้น ต้องอดทน ให้มีกำลังใจดี ๆ สู้ต่อไป""เมื่อย้อนกลับไปมองตัวเอง จำได้เลยว่า เมื่อจังหวะเริ่มเสียศูนย์ในงานกับร่างกายที่ไม่เต็มร้อย ผลที่ตามมาคือไม่มีงานก็ไม่มีเงินใช้จ่ายในความจำเป็น ยิ่งนานวันยิ่งเครียด หันหน้าไปขอใคร ก็ไม่สมหวัง อด ๆ ยาก ๆ กลับมาจุดเดิม ทางออกของตัวเองไม่ใช่การร้องไห้ แต่มีบางทีก็เศร้าใจจนเครียด จะเดินไปต่อยังไง ใครจะช่วย ยิ่งคิดยิ่งเครียด แต่สู้ เมื่อรู้ว่าคนที่ช่วยตนเองได้ คือตัวเราเอง จึงออกมาหาอะไรทำที่ได้เงินซื้อข้าวได้ จ่ายค่าเช่าห้องได้ ทำหมด รับจ้างเป็นตัวประกอบไม่ได้พูด เดินผ่านเฉย ๆ ก็เอา ไปเป็นธุระซื้อของ ติดต่องานให้เพื่อนได้ค่าจ้างก็เอา คิดเสมอว่า อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา ถ้าทำแล้วไม่ได้โกงคน ทุจริตใคร ขอให้ได้เงินซื้อข้าว จ่ายค่าห้องได้ ก็สบายใจแล้ว และมีข้อคิดติดตัวเสมอว่า ล้มแล้วต้องลุก ทำวันนี้ให้ดีที่สุด""จากสุขภาพที่ไม่สบายจนต้องดูแลมาถึงตอนนี้ หากย้อนกลับไปได้ คงไปในจุดที่หัดปฏิเสธว่า ไม่ จะไม่เข้าไปหาสิ่งไม่ดีให้กับตนเอง เช่นไม่ไปสังสรรค์มากเกินไป ไม่เที่ยวดึก ๆ ไม่อดนอนบ่อย ๆ ไม่เอาสิ่งไม่ดีมาเป็นกังวล พยายามให้ตนเองสุขภาพดีด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ในเมื่อมันย้อนกลับไปไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด เมื่อสุขภาพไม่เต็มร้อยก็ดูแลไม่ให้ทรุดและแย่ไปกว่านี้ สิ่งที่เสริมคือพักผ่อนเต็มที่ มีความสุขจากจิตใจ ดูหนัง ฟังเพลง คิดบวก ไม่หงุดหงิดไม่คิดลบ ใช้วิธีฟื้นฟูร่างกายด้วยจิตคิดบวก"เส้นทางชีวิตของ "เอิร์ธ บารมีทัศน์" อดีตนักแสดงที่สร้างสีสันความสุขให้กับแฟนละคร วันนี้สุขภาพดีขึ้นแล้ว และยังมีความฝันที่อยากทำหน้าที่นี้อีก และแฟน ๆ ที่เคยคิดตามผลงานกันมา ก็จะมีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตากันอีกครั้งจากช่อง Youtube ซึ่ง เอิร์ธ กับเพื่อน ๆ กำลังวางแผนที่จะทำกัน หรือถ้าแฟน ๆ ที่จดจำกันได้ ก็สามารถทักทายกันได้ที่ facebook :: เอิร์ธ บารมีทัศน์ มิตรภาพดี ๆ รอเพื่อน ๆ ทุกคนอยู่แล้ว...ขอบคุณภาพประกอบจาก facebook :: เอิร์ธ บารมีทัศน์